×

ส่องทิศทางราคาสินทรัพย์ก่อนผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าใครชนะ S&P 500 มักเป็นบวก

06.11.2024
  • LOADING...
เลือกตั้งสหรัฐฯ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ซึ่งเป็นการชิงตำแหน่งระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญต่อโลกเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งเรากำลังจะทราบผลลัพธ์กันในวันนี้

 

แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ และการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนที่แตกต่างกัน THE STANDARD WEALTH รวบรวมมุมมองต่อทิศทางราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่อาจดำเนินไปหลังจากนี้

 

ไม่ว่าใครชนะ S&P 500 มักเป็นผู้ชนะเสมอ

 

จากรายงานของ Bloomberg เผยว่า การเติบโตของดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นราว 20% ตั้งแต่ต้นปี นับเป็นปีการเลือกตั้งที่เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ปี 1936

 

โดยในรายงานระบุว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯ มักจะส่งผลกระทบต่อตลาดในวงแคบหรืออาจไม่มีเลยในระยะยาว ซึ่งนักวิจัยของ Deutsche Bank AG ตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคสมัยของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 13 คนจาก 15 คนล่าสุด S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10-17% โดยไม่คำนึงถึงสังกัดพรรคการเมือง

 

จากการเก็บข้อมูลของ Bloomberg พบว่า ในการเลือกตั้ง 8 ครั้งล่าสุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.6% ใน 6 เดือนหลังจากวันเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5% ใน 6 เดือนก่อนหน้า

 

Goldman Sachs มองหุ้นจีนไปต่อหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ

 

ณ วันที่ 30 ตุลาคม ดัชนี CSI 300 ของหุ้นจีนพุ่งขึ้นราว 23% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา กลายเป็นดัชนีหุ้นหลักที่เติบโตดีที่สุดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

 

นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs มองว่า หุ้นจีนจะไต่ระดับราคาสูงขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ถึงแม้ในกรณีที่ทรัมป์ชนะก็ตาม

 

“หุ้นจีนไม่ได้ถูกเทขายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายหาเสียงของทรัมป์ ซึ่งบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของหุ้นจีน อย่างไรก็ดีความเสี่ยงของหุ้นจีนจะเพิ่มขึ้นหลังจากจบการเลือกตั้ง”

 

ท่ามกลางความกดดันของรัฐบาลจีนในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จีนเตรียมพิจารณาเพิ่มการขาดดุลงบประมาณมูลค่าราว 10 ล้านล้านหยวน (1.4 ล้านล้านดอลลาร์) ในปีถัดๆ ไป เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและรับความเสี่ยงหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งปริมาณเงินกู้นี้อาจเพิ่มขึ้นหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

 

ภาพรวมจากนโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs กล่าวเสริม

 

พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงต้องติดตามทิศทางจากการเลือกตั้ง

 

หลังจากที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เมื่อวันจันทร์ (4 พฤศจิกายน) นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนก่อนการเลือกตั้ง โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนในพันธบัตร เหตุจากการเลือกตั้งที่สูสีจนคาดการณ์ทิศทางได้ยาก

 

โดย Bloomberg รายงานว่า นักลงทุนตอบรับต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เรียบร้อยแล้ว แต่แนวโน้มในอนาคตจนถึงปี 2025 จะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากผลเลือกตั้งจะส่งผลต่อนโยบายต่างๆ ตั้งแต่ภาษี ไปจนถึงการตั้งกำแพงภาษี รวมทั้งทิศทางนโยบายของ Fed

 

ทองคำอาจวิ่งขึ้นต่อหากทรัมป์ชนะ

 

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยทำลายระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ และปิดที่ 2,734 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 4.0%

 

โดยงานวิจัยของ The World Gold Council ระบุว่า ทองคำมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตระยะยาวในช่วงการเลือกตั้ง แต่ผลลัพธ์นี้ไม่ได้มีความสม่ำเสมอมากนัก

 

ซึ่งมีแนวโน้มที่ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 6 เดือนก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันจะได้รับเลือกตั้ง และยังคงทรงตัวหลังจากจบการเลือกตั้ง ในทางกลับกัน ราคาทองมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์ก่อนที่ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตจะชนะการเลือกตั้ง และเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเล็กน้อยในช่วง 6 เดือนหลังการเลือกตั้ง

 

ด้านรายงานของ Bloomberg ระบุว่า ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อหากทรัมป์ได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทางกลับกันหากแฮร์ริสชนะราคาทองคำจะปรับตัวลดลง

 

โดยผลสำรวจของ Bloomberg Markets Live Pulse เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า ทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ และได้รับเลือกเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

 

อย่างไรก็ตาม หากแฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ ราคาทองมีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่าการบริหารภายใต้แฮร์ริสมีแนวโน้มที่จะเกิดแรงกดดันแก่เงินเฟ้อน้อยกว่าทรัมป์

 

นักลงทุนบิทคอยน์เตรียมพร้อมรับมือราคาที่ผันผวนอย่างรุนแรง

 

หลังจากที่บิทคอยน์ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เริ่มมีการปรับราคาลงมาสะท้อนถึงความผันผวนจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

 

ดัชนีวัดมาตราความผันผวนโดยนัยช่วง 30 วันของ CF Benchmarks พุ่งสูงมากที่สุดนับตั้งแต่ความปั่นป่วนในตลาดโลกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ Caroline Mauron ผู้ร่วมก่อตั้ง Orbit Markets กล่าวว่า ตลาดออปชันส่งสัญญาณถึงการคาดการณ์ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาประมาณ 8% ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงหลังจากวันเลือกตั้ง เทียบกับการเคลื่อนไหวประมาณ 2% ในกรณีปกติ

 

โดยจุดยืนที่แตกต่างกันของทรัมป์และแฮร์ริส ที่ทรัมป์แสดงจุดยืนสนับสนุนคริปโตอย่างชัดเจน ซึ่งให้คำมั่นว่าจะยุติการปราบปรามด้านกฎระเบียบ ขณะที่แฮร์ริสมีท่าทีระมัดระวังมากกว่า และให้คำมั่นที่จะสนับสนุนกรอบการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล

 

จากท่าทีของทรัมป์ทำให้บิทคอยน์ถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน ‘Trump Trades’ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลดีหากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

 

หุ้นไทยจับตากลุ่มน้ำมัน นิคมฯ และส่งออก

 

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย บล.ทรีนีตี้ มองว่า ปริมาณการซื้อขายและความผันผวนน่าจะมากขึ้นนับจากวันนี้ โดยคาดว่าหลังจากนี้การเปลี่ยนแปลงของดัชนีจะแปรผันไปตามตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวมเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งคงขึ้นกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะออกมาในครั้งนี้อย่างแน่นอน

 

โดยหากแยกเป็นผลกระทบรายกลุ่มนั้น ในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะเห็นการปรับตัวได้โดดเด่นกว่าตลาดของหุ้นกลุ่มน้ำมันและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ส่วนหากเป็นแฮร์ริสชนะ คาดว่าจะเห็นความผ่อนคลายในหุ้นกลุ่มส่งออกของไทยได้บ้าง 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X