×

เทียบแนวนโยบายสิทธิ LGBTQ ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020

29.10.2020
  • LOADING...
เทียบแนวนโยบายสิทธิ LGBTQ ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อพลเมืองอเมริกันที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้แสดงพลังและร่วมกันตัดสินอนาคตของประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้านับจากนี้ คาดการณ์ว่า มีกลุ่ม LGBTQ ที่มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 11 ล้านคน อีกทั้งยังมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนสิทธิด้านความหลากหลาย สิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันอีกอย่างน้อย 57 ล้านเสียง ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเด็นต่างๆ เหล่านี้มีความสำคัญยิ่งขึ้นในเกมการเมืองครั้งนี้

 

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ กลุ่ม LGBTQ ในสหรัฐฯ ถูกจำกัดสิทธิมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าในสมัยการบริหารประเทศของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ประเด็นที่เห็นชัดที่สุดคือการสั่งแบน ห้ามคนข้ามเพศเข้าทำงานในกองทัพ, จำกัดสิทธิการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขบางประการของกลุ่ม LGBTQ อีกทั้งยังดำเนินนโยบาย ‘Deploy or Get Out’ ที่เคยบังคับ ตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อสมาชิกกองทัพที่มีเชื้อ HIV

 

ที่ผ่านมา ทรัมป์แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการสมรสเพศเดียวกัน และย้ำว่าตนสนับสนุนการสมรสที่เกิดขึ้นระหว่างชายและหญิง จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการพิจารณายกเลิกสิทธิการสมรสเพศเดียวกันของ LGBTQ ในสหรัฐฯ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในศาลสูงสุดสหรัฐฯ จึงยิ่งเป็นผลดีต่อทรัมป์และพรรครีพับลิกันที่จะผลักดัน ยกเลิก รวมถึงบริหารประเทศไปในทิศทางที่ตนต้องการมากยิ่งขึ้น 

 

ในขณะที่ทางฝั่งผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตอย่าง โจ ไบเดน และคามาลา แฮร์ริส ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทรัมป์ในประเด็นนี้ โดยไบเดนมองว่า ครึ่งหนึ่งของพลเมืองอเมริกันที่เป็น LGBTQ ยังคงไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ถึงแม้พวกเขามีสิทธิที่จะสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจถูกไล่ออกในวันต่อมา เพียงเพราะว่าเขาเป็นอะไรหรือเขารักใคร LGBTQ ในสหรัฐฯ ยังคงเผชิญหน้ากับการเลือกปฏิบัติในเกือบจะทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การเป็นทหาร การเริ่มต้นสร้างครอบครัว หรือแม้แต่การจะได้รับใบอนุญาตขับขี่ที่ระบุเพศสภาพที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด

 

รัฐบัญญัติความเท่าเทียมทางเพศ (Equality Act) จึงเป็นกลไกที่ดีที่สุดที่จะประกันและปกป้องสิทธิและความเท่าเทียมของพลเมืองอเมริกันที่เป็น LGBTQ โดยไบเดนจะประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นภารกิจหลักภายใน 100 วันแรก หากได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกทั้งยังจะส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐเห็นความสำคัญของสิทธิความเท่าเทียม โดยจะเสนอชื่อและแต่งตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐและฝ่ายตุลาการ ที่สะท้อนความหลากหลายของพลเมืองอเมริกัน

 

พร้อมทั้งปกป้อง LGBTQ จากการถูกเลือกปฏิบัติในสถานศึกษา สถานที่ทำงานเพราะรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ, ยกเลิกคำสั่งแบนคนข้ามเพศ (Transgender) ไม่ให้ทำงานในกองทัพของรัฐบาลทรัมป์ และสามารถกลับมาเป็นทหารในกองทัพได้ โดยไม่จำเป็นต้องปิดบังอัตลักษณ์ทางเพศของตนอีกต่อไป, ยกเลิกนโยบาย ‘Deploy or Get Out’ ของรัฐบาลทรัมป์, ส่งเสริมมาตรการรับบริจาคเลือดให้เป็นไปตามวิทยาศาสตร์ ไม่ตีตรา ไม่เลือกปฏิบัติ ออกแบบสอบถามใหม่ที่มีตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่การห้าม LGBTQ บริจาคเลือดตลอดชีวิตที่เคยยกเลิกไปในสมัยรัฐบาลโอบามา รวมถึงสนับสนุนกฎหมายต่างๆ และโครงการต่างๆ อาทิ DACA ที่สนับสนุนความหลากหลายไปพร้อมๆ กับขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า 

 

แต่อย่างไรก็ตาม พลเมืองอเมริกันที่เป็น LGBTQ บางส่วนก็ยังคงตัดสินใจสนับสนุนทรัมป์ให้นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัยในการเลือกตั้งหนนี้ โดยให้เหตุผลว่าพวกเขามองข้ามประเด็นเรื่องสิทธิความหลากหลายเหล่านี้ไปแล้ว โดยเน้นไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจและการจ้างงานของทรัมป์มากกว่า เพราะหากทรัมป์สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้ นั่นก็หมายถึงประโยชน์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน

 

พบกับเว็บไซต์พิเศษ US ELECTION 2020 เกาะติดศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั้งสถานการณ์ล่าสุดและบทความเจาะลึก ได้ที่นี่ https://thestandard.co/us-election-2020/

 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising