กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า ปริมาณหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระลอกใหม่ โดยจำนวนหนี้ดังกล่าวเทียบเท่ากับจำนวนเงินที่รัฐบาลกลางยืมมาเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
การเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ และสภาคองเกรส ต้องเร่งหาทางขยายเพดานหนี้ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ที่หน่วยงานรัฐบาลปิดให้บริการ เนื่องจากขาดงบประมาณ
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ รายงานว่า ในช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2019-2021 ซึ่งการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ส่งผลให้มีหนี้สูงถึง 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมชี้ว่า มาตรการลดหย่อนภาษี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ลดลงในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด ล้วนเป็นปัจจัยในการผลักดันการกู้ยืมของรัฐบาลไปสู่ระดับใหม่
รายงานระบุว่า ขณะนี้ปัญหาหนี้สาธารณะกลายเป็นปัญหาขัดแย้งภายในสภาคองเกรส ที่ส่งผลให้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่าย ซึ่งจะประคองค้ำจุนรัฐบาลไปจนถึงรอบการระดมทุนครั้งต่อไป ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้
ทั้งนี้ สมาชิกสภาคองเกรส สังกัดพรรครีพับลิกัน ต่างมีจุดยืนในการผลักดันให้มีการใช้จ่ายน้อยลง ในขณะที่พรรคเดโมแครตสนับสนุนแนวทางของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการใช้เงินกระตุ้นจากภาครัฐมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งหมายรวมถึงพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียคาดว่าจะใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ด้านสถานีโทรทัศน์ NBC News รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 กันยายน) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกร่างกฎหมายเพื่อให้ทุนแก่รัฐบาลจนถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้ เพื่อแลกกับการตัดเงิน 8% สำหรับโครงการภายในประเทศ ยกเว้นโครงการที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงของชาติ กระนั้นหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่น่าจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากได้
ในส่วนของโฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ปริมาณหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีของพรรครีพับลิกันมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และกลุ่มคนรวยในประเทศในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ทาง ไมเคิล คิคุกาวะ ผู้ช่วยเลขานุการสื่อมวลชนของทำเนียบขาว กล่าวว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในรัฐสภาต้องการเพิ่มการลดหย่อนภาษีเป็นสองเท่า โดยขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่บังคับใช้ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และยกเลิกการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลของประธานาธิบดีไบเดน ขณะที่รัฐบาลไบเดนมุ่งเรียกร้องให้บริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายจ่ายภาษีในสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งลดเงินอุดหนุนให้กับบริษัทน้ำมันและยา ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวได้รับการอนุมัติ ก็จะช่วยลดการขาดดุลได้ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ สภาคองเกรสมีกำหนดเส้นตายในการผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายภายในวันที่ 30 กันยายนนี้
อ้างอิง: