ความหวังที่จะเกิดข้อตกลงที่คืบหน้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในสัปดาห์นี้เป็นอันริบหรี่ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพื่อตอบโต้กรณีรัฐบาลจีนกดขี่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเองว่า ข้อตกลงการค้าฉบับสำคัญระหว่างสองฝ่ายยังไม่น่าที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีหน่วยงานความมั่นคงและบริษัทจีนรวม 28 แห่ง จากข้อกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการปราบปราม กักขังหน่วงเหนี่ยวตามอำเภอใจ และใช้เทคโนโลยีสอดส่องชาวอุยกูร์, คาซัค รวมถึงชนกลุ่มน้อยที่เป็นมุสลิมอื่นๆ ในจีน
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่ได้แสดงความเห็นหรือตอบโต้ในเรื่องนี้ ท่ามกลางการจับตาว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจสร้างอุปสรรคต่อการเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันที่ 10-11 ตุลาคมนี้ หลังจากที่จีนเคยประท้วงสหรัฐฯ จากกรณีขึ้นบัญชีดำบริษัท Huawei Technologies ด้วยประเด็นความมั่นคงมาก่อน
นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ทรัมป์ยังทวีตข้อความว่า ตัวเขาไม่คิดว่าสองฝ่ายจะทำข้อตกลงที่มีความคืบหน้าสำคัญได้ภายในสัปดาห์นี้ ถึงแม้เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสก็ตาม
ทรัมป์ยังแสดงความคาดหวังด้วยว่าจีนจะหาทางออกในวิกฤตการประท้วงฮ่องกงอย่างสันติและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมเตือนว่าสถานการณ์ในฮ่องกงอาจส่งผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วย
“หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ผมคิดว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับการเจรจา” ทรัมป์กล่าวต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว
ก่อนการเจรจาระดับรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดีนี้ ผู้แทนของสหรัฐฯ และจีนจะประชุมเตรียมงานเป็นเวลา 2 วัน ขณะที่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ตัวแทนระดับรัฐมนตรีที่เข้าร่วมเจรจาของฝั่งสหรัฐฯ ประกอบด้วย โรเบิร์ต ไลต์ทิเซอร์ ผู้แทนการค้าระดับสูง และสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนฝ่ายจีนนำคณะโดย หลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน
การพูดคุยระหว่างสองฝ่ายมีขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มบังคับมาตรการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอัตรา 25% เป็น 30% ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม โดยทรัมป์ระบุว่า ผลการเจรจาครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญต่อการพิจารณาว่าจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวหรือไม่
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: