บ่อยครั้งการโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง เรามักเห็นการเลือกใช้เครื่องบินขับไล่ที่บินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินหรือฐานทัพของพันธมิตร หรือใช้เรือพิฆาตในทะเลยิงจรวดร่อนถล่มเป้าหมาย แต่ปฏิบัติการล่าสุดที่สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีฐานกลุ่มติดอาวุธในซีเรียและอิรักเมื่อคืนวันศุกร์ (2 กุมภาพันธ์) ตามเวลาท้องถิ่นนั้น มีเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล B-1 Lancer รวมอยู่ด้วย และเป็นกำลังหลัก อะไรคือเหตุผล?
“B-1 สามารถบรรทุกอาวุธได้เยอะและบินได้ไกล สามารถบินตรงจากสหรัฐฯ เพื่อไปโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่สร้างอานุภาพการทำลายได้เยอะกว่า ในขณะที่เครื่องบินขับไล่ F-18 และ F-16 บรรทุกอาวุธได้จำกัด และต้องเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศกลางทาง ส่วนในกรณี F-18 ก็ต้องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่แล่นเข้าไปในระยะที่ปฏิบัติการได้ ซึ่งหมายถึงต้องเข้าไปในน่านน้ำซีเรียและอิรัก อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี” อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์ทางทหารอิสระ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ให้ความเห็นกับ THE STANDARD
สำหรับการโจมตีครั้งนี้ สหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า เพื่อตอบโต้กรณีที่ทหารอเมริกันถูกโดรนโจมตีเสียชีวิตและบาดเจ็บที่ฐานทัพในจอร์แดน ซึ่งหลังเกิดเหตุ ขบวนการต่อต้านเพื่ออิสลาม (Islamic Resistance Movement) ออกมาอ้างความรับผิดชอบ โดยกลุ่มติดอาวุธนี้มีฐานอยู่ในอิรักและซีเรีย และมีกองกำลังกุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) เป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญ
ด้านกองบัญชาการกลางกองทัพสหรัฐฯ (CENTCOM) และเพนตากอน เผยว่า การโจมตีระลอกนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น โดยเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1 บินตรงจากสหรัฐฯ แบบไม่มีแวะจอด สามารถถล่มเป้าหมายกว่า 85 แห่งใน 7 พื้นที่ ใช้เวลาปฏิบัติการเพียง 30 นาที และได้แจ้งให้อิรักทราบล่วงหน้า ส่วนอิหร่านนั้นไม่มีการติดต่อสื่อสารใดๆ นับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีในจอร์แดน
ภาพ: Douglas C. Brunelle / Courtesy of U.S. Air Force / Getty Images