Q: ผมกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ไม่ดัง เกรดก็ไม่ได้ดีมากมาย กังวลเหมือนกันครับว่าจะหางานยาก เดี๋ยวนี้เขายังดูกันที่เกรดกับมหาวิทยาลัยอยู่ไหมครับ
A: นี่เป็นหนึ่งในคำถามยอดฮิตที่มีน้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือกำลังจะเรียนจบถามพี่ทุกครั้งที่พี่ไปบรรยาย เพราะฉะนั้นน้องไม่ใช่คนเดียวที่กังวลในเรื่องนี้ เย้! มีเพื่อนแล้ว!
เรื่องจะหางานได้หรือเปล่านั้น จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน ด้วยเกรดแบบไหน พี่คิดว่าทุกคนก็กังวลกันหมด เป็นธรรมดาที่เราจะกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ในแง่ดี พี่คิดว่าเราเอาความกังวลมาเปลี่ยนเป็นการเตรียมพร้อมได้นะครับ
ในโลกนี้มันมีสิ่งที่เราเรียกว่า ‘สิ่งที่โลกควรจะเป็น’ และ ‘สิ่งที่โลกเป็นอยู่’ ถ้าถามว่าเกรดและชื่อมหาวิทยาลัยควรมีผลต่อการตัดสินใจรับคนเข้าทำงานไหม พี่คิดว่าสิ่งที่โลกควรจะเป็นก็คือเราไม่ควรตัดสินคนจากเพียงแค่เกรดที่เขาได้ในชั้นเรียนและจากชื่อสถาบันที่เขาเรียน ลำพังตัวเลขเกรดเฉลี่ยอย่างเดียวมันไม่ได้บอกได้ทั้งหมดหรอกครับว่าคนคนนี้ทำงานได้ดีแค่ไหน แต่มันบอกได้แน่ๆ ล่ะว่าคนคนนี้สอบได้ดี สอบได้กับทำงานได้เป็นคนละเรื่องกัน สอบได้แต่ทำงานไม่ได้ก็มี เพราะถึงเวลาทำงานจริงเราไม่ได้ใช้แค่ความรู้ในห้องเรียนอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์รอบตัวที่สั่งสมมาและต้องขวนขวายเพิ่ม เช่นเดียวกัน สถาบันที่เรียนจบมาก็ไม่ได้บอกได้ทั้งหมดว่าคนคนนี้เป็นอย่างไร บอกได้แน่ล่ะว่าเรียนมา แต่เรียนมาแล้วเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง มีเยอะไปครับที่เรียนจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงแต่ทำงานไม่ได้เรื่อง หยิบโหย่ง กลวง รู้ไม่จริงแล้วกร่าง และก็มีไม่น้อยที่เขาทำงานได้ดีจนน่าชื่นชมไม่ว่าเขาจะเรียนมาจากที่ไหน
เพราะฉะนั้นถ้าถามพี่ว่า สิ่งที่โลกควรจะเป็นมันคืออะไร พี่คงตอบว่าโลกควรจะไม่ตัดสินคนแค่เพียงเกรดหรือสถาบันที่เขาจบมา ให้ดีกว่านั้นคือ ไม่ต้องตัดสินคนจากเพศ เชื้อชาติ ศาสนา สถานะทางเศรษฐกิจ ความเชื่อทางการเมือง ฯลฯ เพราะคนคนหนึ่งมีหลากหลายมิติ การไปเชื่อหรือด่วนตัดสินเพียงเพราะเขามีป้ายแปะหน้าผากบอกสถานะบางอย่างคงเป็นการมองคนที่ตื้นเขินไป
แต่สิ่งที่โลกเป็นอยู่ เราก็ต้องยอมรับความจริงบนโลกว่า สิ่งที่เราคิดว่าโลกควรจะเป็นกับสิ่งที่โลกเป็นอยู่ มันอาจจะแตกต่างกัน หรือมีช่องว่างห่างกันอยู่ แน่นอนว่ายังมีคนที่ดูเกรด ดูสถาบันการศึกษาที่จบมาอยู่ มันมีแหละครับ ในมุมหนึ่ง มันก็ช่วยกรองคนได้ระดับหนึ่ง ซึ่งพี่ขอเรียกว่าเป็นระดับหยาบๆ คร่าวๆ ไม่ใช่สิ่งที่ชี้วัดได้ชัดเจนตายตัว เกรดที่ได้อย่างน้อยก็บอกว่าคนคนนี้มีพื้นฐานความรู้ในระดับไหน จบจากที่ไหนมาก็บอกว่ามาจากเบ้าหลอมแบบไหน แต่แน่นอนว่าพอถึงขั้นที่ได้มาคุยกัน ได้ทดลองแจกโจทย์ให้ทำ ได้ใช้เวลาร่วมกัน เราก็จะค่อยๆ เห็นว่าคนคนนี้เป็นคนอย่างไร ซึ่งมันลึกไปกว่าการดูเกรดและดูสถาบันอีกนะครับ
ทุกเรื่องในโลกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละครับ มันมีสิ่งที่โลกควรจะเป็นและสิ่งที่โลกเป็นอยู่ บางเรื่องมีช่องว่างห่างกันมาก บางเรื่องมีช่องว่างใกล้กันอยู่
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่โลกเป็นอยู่มันเป็นอย่างไร นั่นแหละครับเราจะได้มาเตรียมตัวรับมือกับโลกที่เราต้องเจอได้
ข่าวร้ายที่ดีที่สุดคือข่าวร้ายที่เรารู้เร็วที่สุด เพราะแปลว่าเราจะมีเวลาเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย พี่ว่าเป็นเรื่องดีนะครับที่น้องรู้ตั้งแต่ตอนนี้ว่ามีคนยังตัดสินเด็กจบใหม่จากเกรดและสถาบันที่จบมาอยู่ และน้องก็อาจจะได้เกรดไม่ได้หรูหราอะไร สถาบันก็ไม่ได้ดังมากมาย ทีนี้แหละครับ อยู่ที่น้องแล้วว่า เมื่อรู้ว่าเงื่อนไขในชีวิตมันเป็นแบบนี้ น้องจะทำอย่างไรต่อ น้องได้รู้ข่าวร้ายเร็วที่สุดแล้ว ทำให้มันกลายเป็นข่าวดีกันดีกว่าครับ
ข่าวดีก็คือ งั้นดีเลย เกรดอาจจะไม่สวย สถาบันเราก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรายิ่งต้องไปหาอาวุธอื่นๆ เพิ่มเติมแบบที่คนเห็นเรซูเมเราแล้วจะต้องตะลึง เราไปมีประสบการณ์ห้องนอกเรียนได้อยู่นะครับ เช่น เราได้ทำกิจกรรมอะไรนอกห้องเรียนที่เป็นประโยชน์บ้างไหม เรามีวิชาความรู้ที่ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรหรือเปล่า เราไปเรียนอะไรเพิ่มเติมมาบ้างไหม เราไปประกวดแข่งขันอะไรมาบ้าง เราเคยฝึกงานแล้วมีผลงานมาก่อนไหม ฯลฯ พวกนี้แหละครับจะเป็นอาวุธให้กับเราที่เราต้องไปหาเอานอกห้องเรียนมา มันเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเราเองด้วยให้แตกต่างจากคนอื่น
แต่พี่ก็ไม่อยากให้น้องทิ้งการเรียนในห้องนะครับ ไม่ใช่ว่าเกรดเราไม่สวยอยู่แล้ว งั้นเราทิ้งไปเอาความรู้นอกห้องอย่างเดียวดีกว่า ถึงอย่างไรพี่ก็ยังเห็นว่าน้องไม่ควรทิ้งการเรียนในห้อง มันคือการฝึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองนะครับ โดยส่วนตัวแล้วพี่มองว่าคนที่ได้เกรดเฉลี่ยดีหน่อย อย่างน้อยก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขามีวินัย เขาพยายาม มันยากนะครับที่คนเราจะเรียนแล้วได้คะแนนดีๆ มันเหนื่อยไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้นอย่างน้อยมันบอกว่าคนคนนี้ได้ผ่านอะไรมา อาจจะไม่ได้บอกทั้งหมด แต่ก็บอกอะไรได้อยู่
ขณะเดียวกันพี่เชื่อว่าทุกสถาบันการศึกษาต้องมีอาจารย์ที่ดีอยู่ การที่เราตั้งใจเรียน อย่างน้อยเราก็จะได้เจออาจารย์ที่ดี ได้เจอเพื่อนในห้อง ซึ่งเราสามารถถักทอความสัมพันธ์ไปได้ต่อในอนาคต ถ้าเราเป็นคนดี มีความตั้งใจ มีน้ำใจ อาจารย์และเพื่อนอาจจะช่วยต่อยอดเราไปสู่เรื่องดีๆ ก็ได้ ณ วันนี้เราไม่รู้หรอกครับว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่พี่เชื่อว่าเราทำดีไว้ก่อน เราเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้ในใจคนก่อน และก็หมั่นดูแลเมล็ดพันธุ์ของเราให้เติบโตในทางที่ดี วันหนึ่งข้างหน้ามันก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ดียิ่งขึ้นไปได้
เพราะฉะนั้นทำดีมันทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เรียนรู้ทั้งในวิชาที่เราเรียนและนอกตำราที่เราต้องไปขวนขวายเอาเอง
น้องเอ๋ย นาทีนี้เราไม่ได้แข่งกับแค่เพื่อนในมหาวิทยาลัยแล้ว เราต้องแข่งกับ AI อีก ศึกนี้ไม่ง่ายเลย ทางที่ดีเราเตรียมตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลยดีกว่า
ถ้าพี่จะแนะนำ น้องไม่ต้องไปแข่งกับ AI หรอกครับ มันฉลาดกว่าเราเยอะ มันเร็วกว่า แม่นยำกว่า แถมถึกทนไม่มีบ่นอีก โอ๊ย! จะเก่งไปไหน แต่สิ่งที่น้องจะชนะ AI ได้คือการไปมีทักษะที่ AI ยังไม่มีในตอนนี้ให้ได้ เช่น ทักษะในการเข้าใจมนุษย์ ทักษะการทำงานเป็นทีม ทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทักษะการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ทักษะทางความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการวิเคราะห์ ฯลฯ พวก Soft Skill ทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ AI ยังไม่มี และไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะมี ถ้าน้องมีและหมั่นพัฒนา น้องจะมีอาวุธติดตัวไปใช้ในชีวิตต่อไปได้
ในวันข้างหน้า ถ้าน้องไปสมัครงานแล้วเจอคนตัดสินน้องจากเกรดหรือสถาบัน น้องอย่าเพิ่งเสียกำลังใจนะครับ อย่าโกรธที่เขาคิดแบบนั้น มันเป็นธรรมดาที่เราจะเจอคนที่ไม่คิดเหมือนเรา หรือคนที่ตัดสินเราเพียงผิวเผิน มันคือสิ่งที่โลกเป็นอยู่ ที่สำคัญ ถ้าเราคิดเผื่อไว้ตั้งแต่วันนี้ว่าเราต้องเจอคนแบบนั้นอยู่แล้ว และเราไม่หยุดนิ่ง เราไม่ด่าทอชีวิตไปวันๆ แต่เรากลับมาเตรียมพร้อมให้ดีทั้งการฝึกจิตใจเตรียมพร้อมรับการปฏิเสธ และการฝึกตัวเองให้เพิ่มคุณค่าในตัวเรามากขึ้น พี่คิดว่าน้องจะไปเจออะไรข้างหน้าก็น่าจะสู้ไหวและเรียนรู้กันไปได้นะครับ
กลับไปเรื่องเดิม ข่าวร้ายที่ดีที่สุดคือข่าวร้ายที่เรารู้เร็วที่สุด คนบางคนรู้ข่าวร้ายแล้วก็ไม่ทำอะไร แล้วก็มาโทษว่าทำไมโลกถึงไม่เป็นแบบในสิ่งที่มันควรจะเป็น ทำไมคนถึงมาตัดสินกันที่เกรดและสถาบันอยู่อีก แต่คนบางคนรู้ข่าวร้ายแล้วกลับมาตั้งหลักว่าเขาจะเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่โลกเป็นอยู่อย่างไร มีอะไรบ้างที่เขายังขาด มีอะไรที่เป็นจุดอ่อนที่เขาต้องรีบเสริม คนแบบนี้แหละครับที่เปลี่ยนข่าวร้ายให้กลายเป็นข่าวดีได้ และตัวเขาก็จะได้รับข่าวดีตามมา
ถ้าสิ่งที่โลกควรจะเป็นคือการไม่ตัดสินคนจากเกรดและสถาบันแล้ว พี่เชื่อว่าการเข้าใจสิ่งที่โลกเป็นอยู่และหาวิธีรับมือกับมัน จะทำให้คนที่เคยคิดตัดสินคนอื่นจากเกรดและสถาบันได้เห็นจากตัวน้องไปด้วยว่าเกรดและสถาบันไม่ได้บอกคุณค่าของตัวน้องไปได้ทั้งหมด และนั่นแหละครับ จะทำให้น้องมีส่วนช่วยให้สิ่งที่โลกเป็นอยู่เข้าใกล้สิ่งที่โลกควรจะเป็นมากขึ้น และน้องเองก็จะได้ช่วยแผ้วถางทางให้รุ่นน้องของน้อง หรือคนอื่นๆ ที่เคยคิดว่าเขาเกรดไม่ดี มหาวิทยาลัยไม่ดัง จะไปทำอะไรได้ ได้คิดใหม่ มีกำลังใจขึ้นมาใหม่ว่าเขาควรทำอย่างไร และเป็นการบอกคนอื่นๆ ที่ต่อไปจะได้ร่วมงานกับน้องว่า คนเราไม่ควรตัดสินคนอื่นเพียงแค่ข้อมูลที่ตื้นเขินอย่างเดียว
นั่นแหละครับ สิ่งที่โลกเป็นอยู่และสิ่งที่โลกควรจะเป็น
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า