วานนี้ (19 ตุลาคม) รายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่า ภูเขาน้ำแข็ง 3 แห่งสุดท้ายในแอฟริกากำลังลดขนาดลงอย่างต่อเนื่องและอาจละลายหายไปภายใน 2 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ
รายงานฉบับนี้เผยแพร่ล่วงหน้าก่อนการประชุม COP26 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมนี้ บ่งชี้ว่า สถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศในแอฟริกาเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา เผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น มีสภาพอากาศที่เลวร้าย เกิดวิกฤต เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง แผ่นดินถล่ม บ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น
ขณะที่รายงานของอุตุนิยมวิทยาโลกระบุว่า ชาติต่างๆ ในแอฟริกาปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันน้อยกว่า 4% ของก๊าซเรือนกระจกโลก แต่ประชากรราว 1.3 พันล้านรายกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ภาวะภัยแล้งที่ยาวนานขึ้น และอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยการละลายของภูเขาน้ำแข็งในพื้นที่เขตร้อน นับเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพที่น่าสนใจ โดยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก พบได้บริเวณเขาคิลิมันจาโรในแทนซาเนีย เขาเคนยาในเคนยา และเขารูเวนโซรี บริเวณพรมแดนยูกันดาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งภูเขาน้ำแข็งเหล่านี้ลดขนาดลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้รายงานยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ผู้คนมากถึง 118 ล้านรายที่มีรายได้น้อยกว่า 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (ราว 60 บาทต่อวัน) ในแอฟริกาจะต้องเผชิญปัญหาภัยแล้ง วิกฤตน้ำท่วม และอุณหภูมิที่ร้อนระอุมากยิ่งขึ้น หากไม่มีมาตรการรับมือที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ
ภาพ: Chris Jackson / Getty Images for Laureus
อ้างอิง:
