อาจเป็นเรื่องที่ผิดคาดอยู่บ้างสำหรับบางคนที่ไม่ทันได้สังเกตว่า นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่สนามซานติอาโก เบอร์นาบิว ตามที่มีการตีตราเมืองเจ้าภาพประจำปีนี้ว่าเป็น Madrid 2019
แต่บางทีสังเวียนว่านต๋า เมโทรโปลิตาโนของทีมแอตเลติโก มาดริด ก็ดูเป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมดีสำหรับคู่ชิงชนะเลิศของโทรฟีใบใหญ่ที่สุดของยุโรปประจำปีนี้ครับ
เหตุผลเพราะทั้งสองทีม ไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูลหรือท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ต่างมีแนวทางในการทำทีมที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมอย่างที่สโมสรฟุตบอลดีๆ สักแห่งควรจะเป็น ไม่ต่างอะไรจากแอตเลติโก มาดริด เจ้าของสนามเมโทรโปลิตาโนแห่งนี้
พวกเขามีฝ่ายบริหารที่เก่งกาจ ทุกก้าวเดินนั้นถูกกำหนดทิศทางเอาไว้อย่างชัดเจน มีแผนการทำงานที่ดีทั้งเรื่องในและนอกสนาม บัญชีการเงินสโมสรแข็งแกร่ง สนับสนุนคนทำงาน โดยเฉพาะผู้จัดการทีมอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถ ไม่หลงตามกระแสการลงทุนอย่างบ้าคลั่งไปกับซูเปอร์สตาร์ค่าตัวหลายร้อยล้าน
นอกจากนี้ยังปลูกฝังคุณค่าทางวัฒนธรรมลูกหนังที่ดีงามเช่นความภักดีและความผูกพันต่อแฟนบอล เน้นพัฒนาศักยภาพผู้เล่นที่มีออกมาถึงขีดสุด และไม่หลงลืมที่จะให้โอกาสดาวรุ่งภายในอคาเดมีของตัวเอง ให้มีโอกาสแจ้งเกิดและลืมตาอ้าปาก
เหนือสิ่งอื่นใดคือการเล่นฟุตบอลที่ดี มีเสน่ห์ และงดงาม
สิ่งเหล่านี้ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลและสเปอร์ฯ เป็นที่อิจฉาของแฟนบอลจำนวนหนึ่ง
สโมสรบางแห่งอาจประสบความสำเร็จมากกว่า แต่ทีมฟุตบอลของพวกเขาไม่น่าเชียร์เท่า สโมสรบางแห่งร่ำรวยด้วยเงินตรา แต่กลับล้มเหลวอย่างน่าอดสู
อย่างไรก็ดีถึงแม้จะ ‘สำเร็จ’ ในแบบของตัวเอง แต่ทั้งลิเวอร์พูลและสเปอร์ฯ ต่างก็มี ‘ปม’ ที่พวกเขายังสางไม่ได้มาเป็นระยะเวลาหลายปี
ปมดังกล่าวนั้นยิ่งวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ยิ่งพันพัวในหัวใจมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นคือเรื่องของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้เช่นถ้วยรางวัล
ตามข้อมูลจากยูฟ่า ในบรรดา 20 สโมสรที่ดีที่สุดของยุโรปในปัจจุบัน นับจากปี 2006 เป็นต้นมา มี 18 สโมสรที่ประสบความสำเร็จได้แชมป์ลีก แชมป์ฟุตบอลถ้วย หรือแชมป์ถ้วยสโมสรยุโรปมากกว่า 1 รายการ
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว บาเยิร์น มิวนิกได้แชมป์ถึง 16 รายการ, บาร์เซโลนาได้ 17 รายการ แม้กระทั่งทีมอย่างชัคตาร์ โดเนตส์คก็ได้แชมป์มากถึง 18 รายการ
มีเพียง 2 สโมสรเท่านั้นที่ได้แชมป์เพียงแค่รายการเดียวในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ ลิเวอร์พูลและสเปอร์ฯ นั่นเองครับ โดยต่างฝ่ายต่างได้แชมป์ลีกคัพมาครองทีมละ 1 สมัยเท่านั้น
‘ไก่เดือยทอง’ ได้แชมป์ลีกคัพในปี 2008 และเป็นรองแชมป์ลีกคัพ 2 สมัยในปี 2009 และ 2015 รองลงไปจากนั้นคือ การเข้ารอบรองชนะเลิศ 6 ครั้ง แบ่งเป็นเอฟเอคัพ 4 ครั้ง และลีกคัพอีก 2 ครั้ง
รวมถึงการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยในปี 2016 และ 2017 ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งสองครั้ง
ฝั่ง ‘หงส์แดง’ พวกเขาเหมือนจะมีผลงานที่ดีกว่า เมื่อได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 3 ครั้ง (2009, 2014 และล่าสุด 2019) ได้รองแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง (2008 และ 2018) รองแชมป์ยูโรปาลีก 1 ครั้ง (2016) รองแชมป์เอฟเอคัพ (2012) และรองแชมป์ลีกคัพ (2016) รวมกับการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศอีก 4 ครั้ง
ถ้วยรางวัลใบเดียวที่ถูกนำไปเก็บสะสมในห้องเก็บถ้วยโทรฟีของสโมสรคือ ลีกคัพในปี 2012 ใต้การนำของ เคนนี ดัลกลิช ตำนาน ‘คิง’ ผู้ยิ่งใหญ่ของแอนฟิลด์
ความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมที่น้อยนิด แปรผกผันกับความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ของแฟนฟุตบอลที่หัวใจยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
การเล่นดีแต่ไม่มีแชมป์ ทำให้รอยยิ้มนั้นติดอยู่ที่มุมปาก
มันต่างจากการยิ้มที่ออกจากหัวใจ
Spursy กับเกมวัดใจของโปเชตติโน
อย่างไรก็ดี ในคืนวันเสาร์นี้ หนึ่งในสองทีมจะได้สัมผัสกับความสุข และจะได้รับผลตอบแทนของความพยายามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
สเปอร์ฯ ภายใต้การนำของกลุ่ม ENIC ซึ่งเข้ามาลงทุนกับสโมสรตั้งแต่ปี 2001 โดยซื้อหุ้นจาก อลัน ชูการ์ หรือลอร์ด ชูการ์ ที่แฟนบอลเรียกขานกัน ใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษในการเปลี่ยนทีมจากลอนดอนเหนือทีมนี้ จากทีมระดับกลางให้กลายเป็นทีมระดับชั้นนำของประเทศได้อย่างน่าชื่นชม
สิ่งที่พวกเขาทำไม่ต่างอะไรจาก ‘ตำรา’ การบริหารทีมฟุตบอลสมัยใหม่ที่การลงทุนทุกอย่างคุ้มค่า เป็นสโมสรที่แกร่งจากภายใน และไม่ได้คิดจะหยุดตัวเองแค่การเป็นทีมในระดับท็อปโฟร์หรือท็อปซิกซ์ หากแต่ต้องการจะไปให้ถึงจุดสูงสุด
การสร้างสนามแข่งแห่งใหม่ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม ที่เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อต้นเดือนเมษายน เป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ที่จะยกระดับสเปอร์ฯ ให้กลายเป็นสโมสรในระดับ Elite ของโลก
หลายปีที่ผ่านมา สเปอร์ฯ ก็เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะนับตั้งแต่ได้ เมาริซิโอ โปเชตติโน ยอดกุนซือคนรุ่นใหม่ชาวอาร์เจนตินา เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2014 ทีมนี้ก็เก่งกาจอย่างก้าวกระโดด
ซูเปอร์สตาร์รุ่นใหม่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดของสโมสรเอง อย่าง แฮร์รี เคน, แฮร์รี วิงค์ส, คีแรน ทริปเปียร์ หรือเพชรเม็ดงามที่ถูกนำมาเจียระไนอย่าง ซอนเฮือนมิน, แยน แฟร์ตองเกน, คริสเตียน เอริคเซน และ เดเล อัลลี
ไม่นับนักเตะที่เคยถูกมองข้ามจากทีมอื่น ก็ถูกนำมาชุบตัวใหม่ที่นี่ อย่าง ลูคัส มูรา, โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ และ มุสซา ซิสโซโก้
ด้วยฝีมือของโปเชตติโน ทำให้สเปอร์ฯ กลายเป็นหนึ่งใน ‘ที่หมาย’ ที่นักฟุตบอลชั้นยอดจำนวนไม่น้อยอยากจะย้ายมาร่วมงานด้วย เพราะพวกเขารู้ดีว่าการมาอยู่ที่นี่คือโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่สูงกว่า
ตัวของกุนซืออาร์เจนไตน์เองก็เป็นที่หมายปองของทุกสโมสรใหญ่ ที่หากสมมติวันนี้เขาประกาศที่จะอำลาสเปอร์ฯ จะมีทีมยักษ์ใหญ่ที่พร้อมจะเจรจาดึงตัวไปด้วยทันที
อย่างไรก็ดี การไม่เคยมีแชมป์ติดมือ ทำให้โปเชตติโนเองเริ่มรู้สึกว่าตัวเขาเองกำลังเดินมาทางถึง ‘ทางตัน’ เขาเริ่มสงสัยว่าจะนำทีมไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ และเริ่มต้องการการสนับสนุนที่มากขึ้นจากสโมสร เพื่อทำให้ทีมของเขาสามารถแข่งขันในระดับสูงสุดกับคู่แข่งได้
ความคิดนั้นนำไปสู่สัญญาณอันตรายที่ส่งถึงทุกคนว่า หากเขาไม่ได้รับสิ่งที่ร้องขอ บางทีระหว่างเขาและสเปอร์ฯ อาจจะจบลงแค่ตรงนี้
และนั่นอาจหมายถึงการล่มสลายของทีมที่พยายามสร้างกันมาหลายปีด้วย เพราะสตาร์ในทีมหลายคนเริ่มมองหาความเป็นไปได้ที่จะไปคว้าแชมป์กับสโมสรอื่น
เหมือนที่โปเชตติโนเคยเล่าไม่นานมานี้ว่า ช่วงปิดฤดูกาลเขาจะได้รับสายจากลูกทีมบางคนที่บอกว่า มีทีมใหญ่ติดต่อมาและพวกเขาอยากไปคว้าแชมป์
ทุกครั้งเรื่องจะจบลงที่คำปฏิเสธที่แข็งขัน แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้โปเชตติโนคิดว่า เมื่อตัวเขาเองก็ต้องการความสำเร็จ นักเตะเองก็ต้องการความสำเร็จ แล้วสโมสรพร้อมจะสนับสนุนเพื่อให้ทีมไปสู่ความสำเร็จที่มากกว่าที่เป็นอยู่ไหม?
เพียงแต่หากสมมติว่า สเปอร์ฯ เป็นฝ่ายที่คว้าชัยชนะได้ที่มาดริด ทุกอย่างก็อาจจะเปลี่ยนไป
‘The Special One’ โฆเซ มูรินโญ เชื่อว่า โทรฟีใบใหญ่ของยุโรปอาจเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองที่แท้จริงของสเปอร์ฯ
จุดที่พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาคือทีมระดับชั้นนำของจริง และจะต้องทำตัวให้สมกับเป็น Big Team เสียที
และดูเหมือนความเชื่อนั้นเริ่มถูกจุดประกายแล้ว จากการพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมในรอบรองชนะเลิศนั่นเอง
ความพยายามครั้งที่ 7 ของคล็อปป์
สำหรับลิเวอร์พูล เรื่องราวของเส้นทางนั้นมีความคล้ายคลึงกันกับสเปอร์ฯ ครับ
พวกเขาบริหารสโมสรด้วยแนวทางสมัยใหม่ ทำทุกอย่างดีหมด ทั้งเรื่องในและนอกสนาม มีผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมมากๆ อย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ มีผู้เล่นระดับสตาร์ที่ถูกคัดกรองมาอย่างดีว่าเป็น ‘ของแท้’ และมีผู้เล่นดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสในทีมอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
เอาเข้าจริงผมคิดว่า ลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่าด้วย เพราะฝ่ายบริหารนั้นกล้าที่จะทุ่มมากกว่า หากได้รับการยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า นี่คือนักเตะที่จะยกระดับทีมให้ไปสู่อีกขั้น
กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การซื้อ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อลิสสัน ที่ทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากทีมที่มีเกมรับที่อ่อนแอเสียประตูง่ายเหมือนกระดาษทิชชูเปียกน้ำ ให้กลายเป็นทีมที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปได้อย่างน่าอัศจรรย์
แต่ถึงจะทำได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลปกติ ที่สามารถไล่บดบี้กับโคตรทีมแห่งยุคอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้จนถึงนัดสุดท้าย (และได้แชมป์ไป 21 นาทีด้วยกัน) แต่คล็อปป์ก็ไม่ต่างจากโปเชตติโน ตรงที่ยังไม่สามารถพาทีมชูถ้วยแชมป์ได้เสียที
ไม่นับรองแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีที่ผ่านมา คล็อปป์นำลิเวอร์พูลผ่านเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 รายการ คือ ลีกคัพ, ยูโรปาลีก และปีกลาย ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ทุกครั้งจบลงด้วยความผิดหวังทั้งหมด
และหากจะนับรวมทีมเก่าอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วย คล็อปป์ผิดหวังในเกมนัดชิงชนะเลิศมาแล้วถึง 6 รายการติดต่อกัน ครั้งสุดท้ายที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้คือ รายการเดเอฟเบโพคาล เมื่อปี 2012
ไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะคิดว่ามันย่อมมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ในมุมของกุนซือชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเคยยืนยันว่า ‘อย่าตัดสินเขาเพียงแค่ถ้วยรางวัล’ คล็อปป์เชื่อว่า เกมนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 7 ในรอบ 6 ปี (ซึ่งก็เป็นสถิติที่ไม่เลวนะครับ) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในมาดริด เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาจะได้มีทีมที่ดีพร้อมที่สุด
พูดง่ายๆ คือ มีนอกจากจะมีทีมที่แข็งแกร่ง ไม่ได้เป็นรองคู่แข่งเหมือน 6 ครั้งที่ผ่านมา
พวกเขายังมีประสบการณ์จากนัดชิงชนะเลิศที่แสนเจ็บปวดเมื่อปีกลายด้วย
1 ปีที่แล้ว ลิเวอร์พูลยกพลบุกเคียฟด้วยความหวังที่เรืองรอง แต่สุดท้ายเรื่องกลับจบลงอย่างเจ็บช้ำ ด้วยการ (ถูกทำให้) บาดเจ็บของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตั้งแต่ต้นเกม และความผิดพลาดที่ยากจะให้อภัยของ ลอริส คาริอุส ในเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิต
แต่สำหรับคล็อปป์ ถึงจะเจ็บปวด แต่เขาพร้อมยอมรับว่า บางครั้ง ถึงเราจะทำได้ดีแล้ว แต่ก็มีบางคนที่ดีกว่า บวกกับเรื่องโชคเรื่องดวง บางทีชีวิตมันก็เป็นแบบนี้
สิ่งที่เขาบอกกับลูกทีมทุกคนหลังการพ่ายแพ้ต่อเรอัล มาดริดคือ เขา ‘ภูมิใจ’ ในตัวลูกทีมทุกคน การผจญภัยที่ผ่านมาจนถึงเคียฟนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ทุกคนได้ทำร่วมกัน
ก่อนที่จะมีคลิปวิดีโอของเขาที่ร้องเพลงร่วมกับ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ มือขวาคนสนิทและ คัมปิโน นักร้องวงพังก์ร็อกเยอรมันที่ชื่อว่า Die Toten Hosen ซึ่งมีเหรียญรางวัลรองแชมป์ยุโรปห้อยคออยู่
“We saw the European Cup.
“Madrid had all the ****ing luck.
“We swear we’ll keep on being cool
“We’ll bring it back to Liverpool!”
เนื้อเพลงมีสั้นๆ แค่นี้ครับ แต่กลับช่วยปลอบประโลมและนำรอยยิ้มกลับคืนสู่เดอะ ค็อปที่หัวใจสลายได้อย่างรวดเร็ว
แล้วลิเวอร์พูลก็กลับมาได้จริงๆ บนเส้นทางที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าครั้งเก่า และเราอาจกล่าวได้ว่า เรื่องราวการคัมแบ็กของพวกเขาในเกมกับบาร์เซโลนานั้นเป็นตัวจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับสเปอร์ฯ ที่ลงสนามในคืนถัดมาด้วย
สำหรับคล็อปป์และลูกทีม พวกเขามีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า หลังความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา
นี่อาจจะถึงเวลาของพวกเขาบ้าง และพร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง เพื่อนำแชมป์กลับมาให้เหล่าเดอะ ค็อป ที่เป็นกำลังใจให้ทีมตลอดฤดูกาลที่แสนมหัศจรรย์
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
สำหรับ 90 นาที ที่เมโทรโปลิตาโน ผมเชื่อลึกๆ ครับว่า เราคงได้ดูเกมที่สนุกเหมือนที่เราได้ดูการเผชิญหน้ากันของลิเวอร์พูลและสเปอร์ฯ ในพรีเมียร์ลีก
กับสองทีมที่เล่นฟุตบอลที่ดี สวยงาม มีไหวพริบ ชั้นเชิง และเล่นกันด้วยความใสสะอาด
กับการดวลสมองของสองยอดกุนซือ ที่หากไม่ใช่ก็นับว่าใกล้เคียงกับคำว่าดีที่สุดของโลก
กับแฟนฟุตบอลสองทีมที่เต็มไปด้วยแพสชันที่ร้อนแรง
ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร ใครจะยิ้มหรือมีน้ำตา มันน่าจะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดีของยุคสมัยครับ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล