หลังจากที่เมื่อวานนี้ THE STANDARD ได้นำเสนอกรณี Uber ถูกโจรกรรมข้อมูลผู้ใช้งานและคนขับจำนวนกว่า 57 ล้านคนไปเมื่อช่วงปี 2016 แต่กลับจ่ายเงินให้แฮกเกอร์อย่างลับๆ เพื่อแลกกับการลบข้อมูลทั้งหมดทิ้งแล้วห้ามออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น จนเป็นเหตุที่ทำให้หลายฝ่ายแสดงความไม่พอใจต่อการแก้ไขปัญหาเช่นนี้ คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ thestandard.co/uber-paid-hackers-to-delete-stolen-data-on-57-million-people
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) มีรายงานว่า ณ ขณะนี้ผู้ให้บริการร่วมเดินทางจากสหรัฐอเมริกาเจ้านี้กำลังถูกกดดันอย่างหนัก หลังทางการและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลายๆ ประเทศเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเตรียมสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นกันแล้ว
เริ่มต้นด้วยรัฐต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง เช่น อิลลินอยส์, แมสซาชูเซตส์, มิสซูรี, นิวยอร์ก และคอนเนตทิคัต ที่เตรียมเปิดขั้นตอนการสอบสวนเหตุการณ์การปกปิดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของอูเบอร์ ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าประเทศฟิลิปปินส์, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียก็เตรียมไต่สวนกรณีดังกล่าวด้วยเช่นกัน
โฆษกประจำบริษัทอูเบอร์รายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Recode ว่า “พวกเรากำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่กฎหมายในหลายๆ รัฐอย่างใกล้ชิด รวมถึงคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลาง (FTC) ในสหรัฐฯ เพื่อหารือถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น และเราก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างเต็มที่ในการก้าวไปข้างหน้า”
แม้แถลงการณ์ล่าสุดจากดารา คอสราวชาฮี ผู้บริหารอูเบอร์คนปัจจุบันจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ยินดียินร้ายกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่อูเบอร์ตัดสินใจจ่ายเงินแฮกเกอร์ 1 แสนเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว และไม่ยอมออกมาแจ้งต่อสาธารณชน แต่ที่สุดแล้วดาราก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตและความจริงที่ว่าอูเบอร์ไม่ได้พยายามที่จะปกป้องสิทธิของผู้ใช้บริการและคนขับอย่างที่ควรจะเป็น จนนำไปสู่กระบวนการการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานหลายๆ ประเทศที่ดูจะไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน
อ้างอิง: