×

พนักงาน 2 ใน 3 ลาออก ไม่ใช่เพราะงาน แต่เพราะ ‘ผู้นำ’ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ชี้ ‘ผู้นำไม่รักษาคำพูด’ ทำคนหมดใจ

29.06.2025
  • LOADING...

ผลสำรวจล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลก โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ได้เผยความจริงที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้ เมื่อพบว่าพนักงานกว่า 2 ใน 3 (63%) ตัดสินใจลาออกจากงานเดิม ไม่ใช่เพราะตัวงาน แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับทีมบริหาร ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานถึง 68% ชี้ว่าสาเหตุหลักมาจาก ‘คำมั่นสัญญาที่ไม่เป็นจริง’ ของผู้นำ ซึ่งทำลายความไว้วางใจลงอย่างสิ้นเชิง

 

ข้อค้นพบเหล่านี้กำลังชี้ไปยังทิศทางเดียวกันว่า ‘ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นศูนย์กลาง’ (human-centric leadership) คือหัวใจสำคัญที่องค์กรต้องรีบปรับใช้ หากต้องการประสบความสำเร็จในปี 2025 และอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะในยุคที่หลายคนเริ่มกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่บทบาทของมนุษย์

 

ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จของผู้นำจะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นหากให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นอันดับแรก เพราะมนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในที่ทำงานเสมอ

 

การลงทุนกับพนักงานในองค์กรจึงมีความสำคัญไม่ต่างจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี ผู้นำที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตใจและความยืดหยุ่น จะสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

สำหรับบริบทในประเทศไทย ภาวะผู้นำที่ได้รับการยอมรับไม่ได้มาจากอำนาจตามตำแหน่ง แต่มาจากการสร้างความเชื่อมโยงที่แท้จริง ข้อมูลบ่งชี้ว่าพนักงานไทยถึง 70% เชื่อว่า ‘ความเข้าใจผู้อื่น’ (empathy) คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำ การตัดสินใจที่ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาหรือดูแลสุขภาพจิต คือการส่งสารที่ชัดเจนว่า ‘คุณคือคนที่สำคัญที่นี่’

 

ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์แบบผิวเผินหรือมาเฉพาะเวลาต้องการบางสิ่ง ส่งผลให้พนักงานถึง 62% ไม่รู้สึกผูกพันกับผู้นำ ขณะที่ 71% สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเชิงบวกที่ไม่จริงใจ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการแสดงออกแบบฝืนใจ หรือ ‘forced enthusiasm’ ผู้นำที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจ ไม่เพียงเสี่ยงต่อการสูญเสียความภักดี แต่ยังพลาดโอกาสรับฟังแนวคิดใหม่ๆ ที่จะพาองค์กรไปสู่การเติบโต

 

เมื่อถามถึงลักษณะของผู้นำที่ไม่ดี พนักงานส่วนใหญ่ชี้ไปที่ ‘การขาดความโปร่งใส’ (72%) ตามมาด้วย ‘ความไม่สม่ำเสมอ’ (66%) ที่พูดอย่างทำอย่าง และ ‘การหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ’ (44%) ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนบ่อนทำลายศรัทธาและนำไปสู่วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ

 

แน่นอนว่าองค์กรที่ผู้นำยึดคนเป็นศูนย์กลางย่อมได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยมีแนวโน้มรักษาบุคลากรคุณภาพสูงได้มากกว่า 1.5 เท่า และมีโอกาสบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันความสำคัญของแนวทางนี้ได้อย่างดี

 

เส้นทางสู่ความสำเร็จจึงเริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาผู้นำโดยตรง ผ่านการโค้ชและฝึกอบรมเพื่อสร้างทักษะสำคัญแห่งยุคสมัย เช่น การสร้างความเข้าใจผู้อื่น (empathy) ความฉลาดทางอารมณ์ การฟังอย่างลึกซึ้ง และการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ผู้นำพร้อมสำหรับความท้าทายใหม่ๆ

 

จากนั้นคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการสื่อสารที่โปร่งใสและสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดช่วงถาม-ตอบ (Q&A) ที่เปิดให้พนักงานสอบถามอย่างตรงไปตรงมา หรือการมีนโยบายเปิดกว้างที่พร้อมรับฟังความคิดเห็นตลอดเวลา เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงออก

 

การเปลี่ยนแปลงนี้อาจต้องลงลึกถึงการทบทวนวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ ทั้งการปรับเกณฑ์วัดผลการทำงานและระบบการให้รางวัล เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่ให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นศูนย์กลาง และมุ่งทำความเข้าใจความต้องการของพนักงาน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

 

ด้วยเหตุนี้ความสำเร็จขององค์กรในอนาคตจะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจผู้อื่น การสร้างทีม และความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการให้ความสำคัญกับ ‘คน’ เป็นอันดับแรกอย่างแท้จริง

 

ภาพ: Roman Samborskyi / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising