×

TU ยอมรับขยับราคาสินค้าขึ้นแล้ว 5-7% จากพิษเงินเฟ้อพุ่ง เดินหน้าใช้นวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ ดันรายได้ปีนี้โต 5% ตามเป้า

23.03.2022
  • LOADING...
TU

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU เผยตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันได้ปรับขึ้นราคาสินค้าไปแล้ว 5-7% เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต พร้อมเปิดแผนธุรกิจปีนี้ เน้นนำนวัตกรรมต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อผลักดันให้รายได้รวมเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5% พร้อมจัดสรรงบลงทุน 6,000 ล้านบาท ลุยสร้างโรงงานใหม่สายผลิตภัณฑ์นวัตกรรม 

 

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เปิดเผยว่า กรณีราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น และต้นทุนในการผลิตต่างๆ ก็ปรับเพิ่มขึ้น โดย TU รับมือความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการปรับราคาสินค้าและบริการ โดยในธุรกิจภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองปรับราคาขึ้น 5-7% ขณะที่ธุรกิจรับจ้างผลิตจะใช้วิธีปรับราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้โดยภาพรวมเชื่อว่า TU จะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อได้ 

 

สำหรับแผนธุรกิจปี 2565-2568 วางเป้าหมายรายได้เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 141,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนวัตกรรมขึ้นเป็น 10% ของรายได้รวม ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20% จาก 18.2% ในปี 2564 โดยธุรกิจที่จะเติบโตโดดเด่นที่สุดคือธุรกิจ Pet Care หรืออาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่า 12-15%  

 

นอกจากนี้ในปี 2565 จะมีกลุ่มธุรกิจใหม่ที่จะเป็นธุรกิจเพิ่มมูลค่าที่เน้นสร้างกำไร ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่มนี้เป็น 10% และอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% ภายในปี 2568

 

โดย TU จะสร้างความร่วมมือจากธุรกิจสตาร์อัพด้านเทคโนโลยีอาหารที่วางงบลงทุน (Corporate Venture Fund) ไว้ราว 990 ล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้วกว่า 330 ล้านบาท โดยจะผลักดันนวัตกรรมใหม่เข้ามาอย่างเนื่องไปถึงปี 2568 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหาร (Food Ingredients) คอลลาเจนเปปไทด์ แคลเซียมจากกระดูกทูน่า น้ำมันปลาทูน่า ในแบรนด์ Zeavita, กลุ่ม supplement ที่นำสินค้า Food Ingredients เข้าสู่ B2C และกลุ่มโปรตีนทางเลือก

 

รวมทั้งยังมีการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า (JV) ด้านผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ และขยายการลงทุนในสตาร์อัพ โดยใช้งบในส่วน Corporate Venture Fund และเพิ่มความร่วมมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ

 

ส่วนในปี 2566-2568 มีแผนจะขยายตลาดและพัฒนาสินค้าโปรตีนทางเลือก ที่มองว่าตลาดในไทยมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้จะมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรีไซเคิลได้

 

สำหรับงบลงทุนได้จัดสรรไว้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่ใช้งบลงทุน 4,000 ล้านบาท โดยจะใช้สำหรับสร้างโรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสท และคอลลาเจนในไทย วงเงิน 800 กว่าล้านบาท, ลงทุนในธุรกิจอาหารสำเร็จรูป 1,000 ล้านบาท และในต่างประเทศลงทุนก่อสร้างห้องเย็นใหม่ในประเทศกานา ที่เริ่มสร้างเมื่อปีก่อน คาดจะเปิดดำเนินการได้ปีนี้ ส่วนที่เหลือจะใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

 

“งบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ 6,000 ล้านบาท ไม่รวมการลงทุนธุรกิจใหม่ ซึ่งมองว่า TU มีความสามารถในการลงทุนค่อนข้างมาก โดยมี D/E ต่ำกว่า 1 เท่า ส่วนจะมีดีล M&A กี่รายนั้นต้องขึ้นอยู่กับโอกาสและแผนธุรกิจ” ธีรพงศ์กล่าว 

 

ทั้งนี้ TU ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมไปถึงการบริหารจัดการการเงินด้วย โดยในปีที่ผ่านมา TU เดินหน้าเรื่องการเงินที่ยั่งยืนผ่านโครงการ Blue Finance หรือการเงินเพื่อธุรกิจที่มีส่วนช่วยดูแลท้องทะเล ในประเทศไทย ด้วยสินเชื่อและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนระยะยาว รวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเป็น Blue Finance ภายในปี 2568 และเนื่องจาก Blue Finance จะมีการตั้งเป้าหมายการทำงานเกี่ยวกับการดูแลท้องทะเล ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น-ลงตามผลงานด้านความยั่งยืนที่ได้วางเป้าหมายไว้

 

ธีรพงศ์กล่าวเพิ่มว่า TU อยู่ระหว่างเตรียมตัวนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซึ่งทำธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ปีนี้ โดยคาดจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ได้เร็วๆ นี้ 

 

“โอกาสธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงโตขึ้นต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโควิดที่คนอยู่บ้านมากขึ้น รับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และมองว่าหลังโควิดจบลงตลาดนี้ก็ยังเติบโตขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดในประเทศจีนที่เติบโตอย่างมาก” ธีรพงศ์กล่าว 

 

ทั้งนี้ในปี 2564 TU มียอดขายเพิ่มขึ้น 6.5% อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.3% อยู่ที่ 8,013 ล้านบาท จากปัจจัยที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัวจากการที่ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมกลับมาเปิดในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ประกอบกับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าทำผลงานได้ดี

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising