สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานจีดีพีไตรมาส 2 กลับมาขยายตัว 7.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งเป็นผลของปัจจัยฐานต่ำที่มีการใช้มาตรการฟูลล็อกดาวน์เป็นสำคัญ และยังขยายตัวได้ 0.4% เทียบกับการฟื้นตัวในไตรมาสแรก โดยได้รับผลกระทบจากการกลับมาระบาดของโควิดระลอก 3 ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลงอีกครั้ง โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหดตัว 2.5% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้นและการปิดกิจการบางประเภท เช่น โรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ในไตรมาสดังกล่าว เศรษฐกิจไทยได้แรงหนุนจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องเป็นหลัก ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีแรกยังคงขยายตัวได้ดีกว่าคาด
คาดจีดีพีไตรมาส 3 หดตัวหนัก เหตุได้รับผลกระทบชัดเจนของโควิดระลอก 3
ในช่วงต้นไตรมาส 3 สถานการณ์การระบาดของโรคโควิดรุนแรงมากขึ้นและกระจายเป็นวงกว้าง นำไปสู่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม รวม 29 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็น 77% ของจีดีพีประเทศ ดังนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องและทรุดตัวลง โดยสะท้อนจากเครื่องชี้วัดด้านการเดินทางของ Facebook Mobility Index โดยเฉพาะในจังหวัดที่ล็อกดาวน์ลดลงต่ำกว่าช่วงล็อกดาวน์ทั้งประเทศในการระบาดระลอกแรก และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงได้อีกหากมีการขยายช่วงเวลาล็อกดาวน์เพิ่มเติม
นอกจากนี้ การเกิดคลัสเตอร์โรงงานกระจายไปหลายภาคการผลิตอุตสาหกรรมและหลายจังหวัด นำไปสู่ปัญหา Supply Disruption และอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่เป็นตัวแปรเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งนี้ จากยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังคงเพิ่มขึ้นแตะระดับกว่า 20,000 คน คาดว่ารัฐจะขยายระยะเวลาล็อกดาวน์คุมเข้มไปถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เป็นแรงกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ให้ลดลงอย่างชัดเจน
เร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลได้ 70% เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การคลายล็อกดาวน์ ปลุกกิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นไตรมาส 4
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ได้แก่ สถานการณ์การระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งสมมติฐานที่ใช้คือ ยอดผู้ติดเชื้อรายวันจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในระดับ 25,000-30,000 คน ภายในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ควบคู่ไปกับการกระจายวัคซีนสอดคล้องกับยอดผู้ติดเชื้อในพื้นที่ ซึ่งใช้ตัวบ่งชี้จากสัดส่วนการได้รับวัคซีนเข็มแรกในกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดอยู่ที่ 70%
โดยหากประมาณการด้วยการใช้อัตราฉีดวัคซีน 3 แสนโดสต่อวัน (เป็นค่าเฉลี่ย 7 วันย้อนหลังจนถึงขณะนี้) จะสามารถครอบคลุมประชากรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 70% ในต้นเดือนกันยายน (จากขณะนี้มีผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ประมาณ 8 ล้านคน คิดเป็น 54% ของประชากรในกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ภายใต้การบริหารจัดการวัคซีนที่เป็นไปตามแผนทำให้มีปริมาณวัคซีนรองรับเพียงพอและยอดผู้ติดเชื้อปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นได้ในเดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ หากรักษาอัตราการฉีดวัคซีนได้ในระดับนี้ต่อเนื่อง จะสามารถครอบคลุมประชากรทั้งหมด 70% หรืออีกนัยคือประเทศเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในเดือนธันวาคม 2564
สำหรับการปรับตัวของแต่ละองค์ประกอบพบว่า การบริโภคของภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแต่ยังเปราะบางอยู่มากเมื่อมีการปลดล็อกมาตรการปิดกิจการในพื้นที่ควบคุมสีแดง การปิดแคมป์ก่อสร้าง การปิดคลัสเตอร์โรงงาน และเมื่อรวมกับเม็ดเงินจากมาตรการเยียวยาที่คาดว่าจะมีต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและแรงงานในกิจการหรืออุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ รวมทั้งเดินหน้าโครงการในแผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจของ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ชะลอไปในช่วงสถานการณ์โควิด โดยมีการเบิกจ่ายเพียง 28% คาดว่าจะช่วยประคองการบริโภคไม่ให้ทรุดหนัก โดยมีแนวโน้มที่จะทรงตัวจากปีก่อนหน้า
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างที่ทำให้เกิดปัญหาการโยกย้ายแรงงานจากพื้นที่ก่อสร้าง และการชะลอโครงการของภาครัฐบางส่วน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้ฟื้นตัวช้า ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวนำร่องด้วย Phuket Sandbox คาดว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้เริ่มกลับมา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังมีจำนวนไม่มากนัก โดยปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวทั้งปี 2564 อยู่ที่ 1 แสนคน
ทั้งนี้ จากปัจจัยเศรษฐกิจในแทบทุกด้านโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่ยังไม่สามารถกลับสู่ระดับปกติ โดยเป็นเพียงการเริ่มฟื้นตัวจากฐานต่ำในปีก่อนหน้า มีเพียงภาคการส่งออกที่เติบโตได้ โดยคาดว่าทั้งปี 2564 จะโตได้ 9.4% และมาตรการภาครัฐที่เป็นแรงพยุงเศรษฐกิจ แต่โดยรวมก็ไม่สามารถชดเชยกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ลดลงมากได้
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี คาดโมเมนตัมเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปี 2564 นี้จะยังหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และจะกลับมาเป็นบวกได้เล็กน้อยในไตรมาส 4 หลังประเมินการแพร่ระบาดจะสามารถกลับเข้าสู่ระดับควบคุมได้อีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่การคลายล็อกดาวน์ในช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2564 ขยายตัว 0.3% ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 0.9% ทั้งนี้ หากแผนการฉีดวัคซีนคืบหน้าได้ดีต่อเนื่องและไม่เกิดการระบาดรุนแรงระลอกใหม่ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะกลับมาขยายตัวได้ที่ 3.2% ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากฐานต่ำ
อย่างไรดี หากยอดผู้ติดเชื้อยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายนทำให้ต้องขยายการล็อกดาวน์ไปจนถึงสิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ และเงื่อนไขการกระจายวัคซีนที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ 70% ยืดออกไปเป็นไตรมาส 1 ของปี 2565 ประกอบกับการส่งออกของไทยอาจได้รับผลกระทบจากความต้องการในตลาดอาเซียนชะลอลง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย จากการใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่ โดยอาจทำให้การส่งออกของไทยเติบโตลดลงไปที่ 6.6% ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะฉุดให้เศรษฐกิจทั้งปี 2564 หดตัว หรือกล่าวได้ว่าวิกฤตโควิดทำให้เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นครั้งแรกหลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ผ่านมา