วันนี้ (19 พฤษภาคม) ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมหลังการเปิดภาคเรียน On-site ในรอบ 1 ปี ว่าที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อสร้างมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด รวมไปถึงมาตรการแบบ Social Distancing ใส่หน้ากากและล้างมือ
โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความเข้มงวดให้ครูและนักเรียนฉีดวัคซีน ซึ่งได้ทยอยฉีดตั้งแต่ปีที่แล้ว และปัจจุบันครูได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว นักเรียนเริ่มเข้าสู่การฉีดเข็ม 2 และ 3 ส่วนนักเรียนกลุ่มเด็กเล็กกำลังทยอยฉีดแล้วเช่นกัน ดังนั้นในเรื่องของการฉีดวัคซีนจึงไม่มีข้อกังวลเรื่องมาตรการแต่ละโรงเรียน ได้กำชับให้เป็นไปตามมาตรฐานของ สธ.
รวมถึงมีแผนเผชิญเหตุเพื่อรับมือหากพบการติดเชื้อหรือแพร่ระบาดของโควิด โดยไม่จำเป็นจะต้องปิดทั้งโรงเรียนอีกต่อไป ให้ปิดเฉพาะบางห้องเรียน และทำความสะอาดเพื่อให้ทุกๆ อย่างกลับสู่สภาวะปกติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าจะมีการประเมินสถานการณ์เป็นวงรอบหรือไม่ ตรีนุชระบุว่า จะมีการประเมินสถานการณ์ทุกวันและรายงานมายังศูนย์กลางของ ศธ. ทราบทุกวันว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเรียกร้องเสรีทรงผม ตรีนุชระบุว่า น่าจะเป็นความเข้าใจผิดด้านการสื่อสาร เพราะ ศธ. ไม่ได้มีระเบียบเรื่องของทรงผมกำหนดไว้ เนื่องจากโรงเรียนที่สังกัด ศธ. มีหลายบริบท ดังนั้น ศธ. จึงมีหน้าที่คุมระดับนโยบาย ส่วนเรื่องทรงผมเป็นอำนาจของโรงเรียน ผู้บริหาร และคณะกรรมการสถานศึกษา เป็นผู้ออกแบบและกำหนดมาตรการทรงผมของแต่ละโรงเรียน ไม่เกี่ยวข้องกับ ศธ. และไม่ต้องการให้ลงโทษนักเรียนในมิติของความรุนแรงเรื่องทรงผม
“เราเน้นในมิติของการศึกษา และให้นักเรียนเข้าถึงระเบียบวินัย แต่ในเรื่องทรงผมเราไม่ได้มีข้อห้ามใดๆ หรือกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน” ตรีนุชกล่าว
เมื่อถามว่ามีการเรียกร้องจากกลุ่มนักเรียนเลวให้แก้กฎกระทรวง ให้นักเรียนไว้ทรงผมอะไรก็ได้ อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาที่จะกำหนดให้ทรงผมเป็นแบบไหนอย่างไร ซึ่งเราเน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมระหว่างนักเรียน ผู้ปกครอง และครูเป็นหลัก ส่วนภาพที่ยังมีการลงโทษนักเรียนไว้ผมผิดระเบียบนั้น ศธ. ทำได้เพียงกำชับไปยังหน่วยปฏิบัติ เพราะทุกสังคมต้องมีกติกา แต่ถ้าใครฝ่าฝืนก็ต้องมีข้อกำหนดว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ไม่ต้องการให้ใช้ความรุนแรงกับนักเรียน ทั้งนี้อยากให้แต่ละโรงเรียนดำเนินการไปตามเสียงส่วนใหญ่ของนักเรียนและชุมชนที่อยู่
ทั้งนี้อัมพรไม่กังวลว่าเรื่องการกำหนดทรงผมจะเป็นการริดรอนสิทธิของนักเรียน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของผู้ที่นำเรื่องนี้มาทำเป็นประเด็น ถ้าเข้าใจระเบียบก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องของแต่ละสถานศึกษา จึงควรไปเรียกร้องที่โรงเรียนของตัวเอง ทั้งนี้เมื่อถามว่าหากโรงเรียนอ้างกฎกระทรวง อัมพรยืนยันว่าไม่สามารถอ้างได้ เพราะระเบียบไม่เปิดช่องให้อ้าง
