‘ดุเดือดและบ้าคลั่ง’
สองคำสั้นๆ ที่ผู้ชมจะได้รับแบบจัดเต็มอย่างไม่มีข้อสงสัยเมื่อได้ดู Train to Busan: Peninsula ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สุดทะเยอทะยานจากเกาหลีใต้ที่อัพสเกลงานสร้างให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดขึ้น และฝูงซอมบี้ที่บ้าคลั่งยิ่งกว่า Train to Busan (2016)
เรื่องราวเกิดขึ้น 4 ปีหลังจากภาคแรก เมื่อคาบสมุทรเกาหลีถูกครอบครองโดยฝูงซอมบี้คลั่ง ทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืด และนำมาสู่การสร้างระบบการปกครองอันป่าเถื่อน
วันหนึ่ง จองซอก (คังดงวอน) อดีตนายทหารหนุ่มที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีก่อน ได้รับข้อเสนอให้ไปช่วยกู้รถบรรทุกที่จอดทิ้งร้างอยู่กลางกรุงโซล โดยมีเงินกว่า 2 ล้านดอลลาร์เป็นรางวัลตอบแทน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้ที่มีกฎเพียงข้อเดียวที่พวกเขาต้องยึดมั่นคือ ‘จงรอดตาย’
ผลงานภาคต่อครั้งนี้นับว่าเป็นความทะเยอทะยานครั้งสำคัญของผู้กำกับอย่าง ยอนซังโฮ ที่พยายามขยายสเกลภาพยนตร์ให้ทัดเทียมกับฮอลลีวูด ซึ่งเราก็ต้องขอปรบมือให้จากใจจริง เพราะ Train to Busan: Peninsula สร้างสรรค์งานโปรดักชันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่ยอนซังโฮตั้งใจไว้
เริ่มตั้งแต่งานวิชวลเอฟเฟกต์ที่อาจจะดูขัดตาไปบ้างในบางฉาก แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถ่ายทอดบรรยากาศอันรกร้างของประเทศเกาหลีออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ ลึกลับ กดดัน และน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นตึกร้าง แสงเงาในยามค่ำคืน และฝูงซอมบี้คลั่งที่ยกโขยงกันมาไล่ล่าเหล่าตัวละครเอก
โดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่ดุเดือดกว่าภาคแรกแบบเท่าตัว เรียกได้ว่าเมื่อเหล่าตัวละครหลักก้าวเข้าสู่ดินแดนรกร้าง ภาพยนตร์ก็ซัดฉากแอ็กชันใส่เราแบบไม่มียั้ง โดยเฉพาะฉากขับรถไล่ล่าที่ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน (จนอยากรู้ขึ้นมาว่าใช้ยางรถยนต์ยี่ห้ออะไรถึงถึกทนขนาดนี้)
ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับเหล่านักแสดงอย่าง คังดงวอน และอีจองฮยอน ที่ลุยคิวบู๊กันแบบดุเดือดทั้งฉากต่อสู้ระยะประชิดและฉากขับรถไล่ล่า โดยเฉพาะ อีเร ที่มารับบทเป็น จุนอี เด็กสาวนักซิ่ง ที่แม้เราจะทราบดีว่าเธอไม่ได้ขับจริงๆ แต่การแสดงของเธอก็ทำให้เราหลงรักในความเท่ของตัวละครตัวนี้อย่างหมดใจ
แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับงานสร้างอันยิ่งใหญ่และฉากแอ็กชันอันดุเดือดคือหัวใจสำคัญของเรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมนุษย์ ซึ่งภาคแรกได้สร้างไว้อย่างน่าประทับใจ
เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐานและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครภายในเรื่องที่ดูเบาบางจนเกินไป เพราะถูกแทนที่ด้วยฉากแอ็กชันต่างๆ ส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันและมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครอย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งข้อเสียในจุดนี้ เราถือว่าเป็นบาดแผลใหญ่ของเรื่องที่ความอลังการด้านโปรดักชันไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมด เพราะหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้ชมต่างหลงรัก Train to Busan คือความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องที่ทำให้เราอยากจะเอาใจช่วยให้พวกเขารอดชีวิต
รวมทั้งการฉายภาพด้านมืด ป่าเถื่อน เห็นแก่ตัวของมนุษย์ในช่วงเวลาคับขันเมื่อต้องเอาตัวรอดที่ทำได้ดีมากๆ ในภาคแรกกลับเบาบางลงไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Train to Busan: Peninsula จะขาดเสน่ห์ของเนื้อเรื่องไปบ้าง แต่เราก็ยังคงต้องยอมรับและชื่นชมยอนซังโฮที่สามารถเนรมิตคาบสมุทรเกาหลีให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้คลั่งออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ รวมถึงฉากแอ็กชันอันดุเดือดที่ยอนซังโฮทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อสร้างฉากขับรถไล่ล่าความยาว 20 นาทีออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
และมันคงจะไม่เกินความจริงไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า Train to Busan: Peninsula คือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เดินทางอยู่บนสายพานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีที่ตั้งใจจะก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก
Train To Busan: Peninsula เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่นี่
ภาพประกอบ: sahamongkolfilm.com