×

ทิสโก้เผย GDP ปี 63 ติดลบ 6.9% รับผลโควิด-19 ชี้หุ้นไทย เม.ย. วิ่ง 1,140-1,200 จุด

01.04.2020
  • LOADING...

วันนี้ (1 เมษายน) คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เป็นติดลบ 6.9% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 0.8% โดยอิงสมมติฐานหลัก 3 ประการ ได้แก่



1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือ 12 ล้านคน

2. ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

3. ภัยแล้งมีความรุนแรงยืดเยื้อจนถึงเดือนกันยายน จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่เดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้คาดว่าผลกระทบจากภัยแล้งจะกลายเป็น 0.7% ของ GDP จากเดิมคาดไว้ที่ 0.2% ของ GDP



ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงในด้านต่ำ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้นและมีความไม่แน่นอนสูง ขณะเดียวกันหากภัยแล้งลากยาวถึงสิ้นปี คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 0.5% ซึ่ง กนง. ประกาศว่าพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพิ่มเติมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการทางการเงินอื่นๆ ที่เหมาะสมและทันเหตุการณ์



ขณะเดียวกันเงินบาทจะถูกกดดันเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เปราะบาง รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่น่าจะกลับมาหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง



TISCO ESU คาดหวังการออกนโยบายการคลังที่มากขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพื่อเยียวยาผลกระทบจากไวรัส (ระยะที่ 1 และ 2) มีเม็ดเงินอยู่ราว 2% ต่อ GDP ซึ่งยังไม่เพียงพอจะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 9% 



ดังนั้นศูนย์วิเคราะห์ฯ สนับสนุนให้รัฐบาลใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ทั้งหมด (เช่น พ.ร.ก. กู้เงิน) เพื่อที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ ทั้งนี้รัฐบาลยังมีพื้นที่สำหรับกู้เงินเพิ่มเติมราว 2.42 แสนล้านบาทตาม พ.ร.บ. หนี้สาธารณะ ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศในกลุ่มเดียวกัน และยังอยู่ภายใต้เกณฑ์กรอบความยั่งยืนทางการคลัง



นอกจากนี้เงินที่พร้อมสำหรับการเบิกจ่ายในมือของรัฐบาลอย่างงบประมาณ FY2020 จำเป็นจะต้องถูกเบิกจ่ายอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไว้สูงมากที่ 100% ในปีงบประมาณนี้ (แม้ว่างบประมาณจะล่าช้ากว่าปกติไปเกือบ 5 เดือน) ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้า (ในอดีตช่วงที่สถานการณ์ปกติ รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้เพียง 70% เท่านั้น) จะช่วยลดความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทย และอาจช่วยให้เศรษฐกิจไม่แย่เท่าช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่เศรษฐกิจไทยหดตัว 7.6%



อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่ามุมมองตลาดหุ้นเดือนเมษายน 2563 บล.ทิสโก้ คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวชั่วคราวจากอานิสงส์การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารสำคัญของโลก ทั้งการลดดอกเบี้ยลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดความปั่นป่วนในตลาดการเงิน



นอกจากนี้รัฐบาลในหลายประเทศยังทยอยออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วย มองเป้าดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้น่าจะฟื้นตัวจำกัดที่บริเวณ 1,140-1,200 จุด อิงมาจากปัจจัยทางเทคนิคที่เคยเป็นโซนจุดต่ำและจุดสูงหลายครั้งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมองว่าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ แต่ต้องยอมรับว่าความผันผวนก็ยังสูงอยู่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง



“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นมาก สำหรับไทยก็มีหลายกรณีที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จากการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา (ก่อนรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ทำให้มีแรงงานจำนวนมากกลับภูมิลำเนาเดิม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การแพร่ระบาดถีบตัวสูงขึ้นเหมือนกรณีสนามมวย ซึ่งหากรัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดและยาวนานขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” อภิชาติกล่าว



ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ยังคงกลยุทธ์การทยอยสะสมหุ้นแบบแบ่งซื้อในช่วงตลาดผันผวน แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงตลาดรีบาวด์ก็ควรขายล็อกกำไรไว้บ้าง รอย่อตัวซื้อคืน หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนเมษายนคือ BAM, BJC, DTAC, PTTEP, RBF, SCC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,070 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,010-1,020 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,165-1,170 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,190 จุด



แม้ว่าความไม่แน่นอนยังมีอยู่ แต่ก็มีลุ้นมากขึ้นว่าดัชนีหุ้นไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดของภาวะหมีรอบนี้ไปแล้วที่บริเวณ 970 จุด หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ที่ 1.1-1.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียงเส้นแนวโน้ม P/BV ระยะยาวในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า และ 0.8-0.9 เท่า ตามลำดับ ผสานกับหุ้นไทยมีตัวช่วยเข้ามาพยุงตลาดมากขึ้น เช่น 

 

  • การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน ที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้มีวงเงินซื้อคืนรวมมากกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
  • กองทุนเพื่อการออมระยะยาว (SSF) แบบพิเศษที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินทยอยไหลเข้าตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน-มิถุนายน)
  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการชั่วคราวเพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด เช่น การปรับเกณฑ์การขายชอร์ตจากราคาไม่ต่ำกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เป็นราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย, การปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และปรับเกณฑ์การหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) จาก 2 ระดับ เป็น 3 ระดับ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising