เทศกาลปีใหม่ของจีนหวนกลับมาอีกครั้งในปีนี้ เราทุกคนต่างคุ้นเคยกับการเฉลิมฉลองนี้ของชาวจีนกันดี ทว่าตรุษจีนเองก็มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ ทั้งประวัติความเป็นมา ตำนาน ข้อห้าม ตลอดจนความเชื่อและข้อเท็จจริง ต่อไปนี้คือ สารพัดเกร็ดน่ารู้แต่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีนที่เรารวบรวมนำมาฝากกัน
(Photo Credit : https://kdthamann.wixsite.com/kathrynswordvomit/post/the-legend-of-the-monster-nian-or-the-legend-of-chinese-new-year )
สัตว์ประหลาด ‘เหนียน’ กับตำนานตรุษจีน
ตรุษจีน หรือ ‘ชุนเจี๋ย/กว้อชุนเจี๋ย/กว้อเหนียน’ นับเป็นวันสำคัญของจีนที่มีมานับแต่โบราณ ตามตำนานเล่ากันว่ามีสัตว์ดุร้ายชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘เหนียน’ ออกอาละวาดกินผู้คนเป็นประจำ เทพเจ้าจึงลงโทษให้มันลงจากเขาได้เพียงครั้งเดียวในรอบ 365 วัน ในยามเมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านพ้นและฤดูใบไม้ผลิกำลังเวียนมา เหนียนก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันภัยของเจ้าเหนียนตัวร้าย ทุกบ้านจึงสะสมเสบียงไว้ มีการประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดงเพื่อทำให้เหนียนกลัว เช่นเดียวกับการประดับแสงไฟ จุดประทัดและพลุ จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อเหนียนจากไปแล้ว ทุกบ้านก็ออกมาแสดงความยินดีกัน พร้อมทั้งนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน ต่อมาจึงกลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองแห่งความสุขที่เรียกกันว่า ‘ตรุษจีน’ นอกจากนี้วันสำคัญในเทศตรุษจีนยังประกอบไปด้วย ‘วันจ่าย’ หมายถึงวันที่ออกไปจับจ่ายซื้อของไหว้ต่างๆ ‘วันไหว้’ สำหรับทำการไหว้เทพเจ้า และ ‘วันเที่ยว’ ซึ่งทุกคนจะออกจากบ้านไปเที่ยว (ในปีนี้ตรงกับวันที่ 30-31 มกราคม และ 1 กุมภาพันธ์ ตามลำดับ)
(Photo Credit : https://www.tripsavvy.com/chinese-new-year-celebration-1458286)
เทศกาลที่ประชากร 1 ใน 4 ของโลกร่วมกันเฉลิมฉลอง
แม้จะเป็นเทศกาลของจีนซึ่งเฉลิมฉลองกันในประเทศแถบเอเชียเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่รู้กันหรือไม่ว่าสำหรับตรุษจีนในปีล่าสุด 2022 นี้ มีการประมาณการว่าจากประชากรทั่วโลกทั้งหมดซึ่งมีอยู่ประมาณ 7.7 พันล้านคน กว่า 2 พันล้านคน หรือคิดเป็นประชากร 1 ใน 4 ของโลก นั้นมีส่วนร่วมฉลองเทศกาลนี้กันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับประเทศที่กำหนดให้มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงตรุษจีน ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลีใต้ มาเลเซีย เกาหลีเหนือ ไต้หวัน สิงคโปร์ และบรูไน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ตามเมืองใหญ่ๆ ในโลกตะวันตก ก็มีการเฉลิมฉลองตรุษจีนกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ก ลอนดอน แวนคูเวอร์ และซิดนีย์ ฯลฯ
ผู้คนมอบซองอั่งเปาให้กันหลายล้านซองในเทศกาลตรุษจีน
สีแดงเป็นสีมงคลและโชคลาภสำหรับชาวจีนทำให้มีการประดับประดาต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีนด้วยสีแดง เช่นเดียวกับธรรมเนียมการมอบซองอั่งเปาสีแดง ซึ่งนับเป็นการการส่งความปรารถนาดีและโชคลาภให้แก่กัน สำหรับคนไทยหลายๆ คนนั้นอาจจะคุ้นหูกับคำว่า ‘อั่งเปา’ และ ‘แต๊ะเอีย’ ซึ่งมักจะได้ยินในเทศกาลนี้กันดี แต่อาจจะไม่รู้ว่าทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างไร อันที่จริงนั้นอั่งเปามีความหมายถึงซองสีแดง (อั่ง = สีแดง สีมงคล, เปา = ซอง) ส่วนแต๊ะเอียนั้นหมายถึงเงินหรือสิ่งที่อยู่ภายในซอง ส่วนใหญ่นิยมให้เป็นเลขคู่หรือเลขเรียงเพื่อสื่อถึงความเป็นสิริมงคล แม้ตามธรรมเนียมนั้นผู้มีงานทำหรือผู้มีอายุมากกว่ามักเป็นผู้มอบให้กับคนอายุน้อยกว่า แต่คนอายุน้อยก็สามารถมอบอั่งเปาให้กับคนมีอายุมากกว่าได้เหมือนกัน นอกจากสมาชิกภายในบ้านที่มอบอั่งเปาให้แก่กันแล้ว ยังมีการให้อั่งเปากันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง หัวหน้าไปถึงลูกน้อง ฯลฯ ว่ากันว่าระหว่างช่วงเทศกาลนี้ผู้คนทั่วโลกมอบซองอั่งเปาแดงหลายล้านซองให้แก่กัน และปัจจุบันนี้ยังได้มีการส่งซองอั่งเปาสีแดงจำนวนมากในรูปแบบ Digital Angpao
(Photo Credit : https://www.topchinatravel.com/customer-center/china-train-travel-rushes.htm)
เทศกาลที่เกิดการเคลื่อนย้ายผู้คนมากที่สุดในโลก และผลกระทบจากโควิด
ความน่าทึ่งอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับตรุษจีนคือ นี่เป็นหนึ่งในเทศกาลประจำปีที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายผู้คนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยธรรมเนียมที่ต้องใช้เวลารับประทานอาหารร่วมกับสมาชิกครอบครัวในวันส่งท้ายปีเก่า ในสถานการณ์ปกติชาวจีนแผ่นดินใหญ่กว่า 200 ล้านคนเดินทางไกลในช่วงวันหยุดนี้ และคาดว่ามีการเดินทางในประเทศจีนถึง 3.5 พันล้านครั้ง ผู้คนหลายสิบล้านคนยังเดินทางไปต่างประเทศด้วย สิ่งนี้ทำให้เทศกาลตรุษจีนเป็นการอพยพประจำปีของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือที่เรียกว่า ‘Spring Festival Travel Rush’ (เทศกาลตรุษจีน หรือ ‘ชุนเจี๋ย’ (春节) ยังหมายถึงเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์โควิดได้ทำให้การเคลื่อนย้ายในเทศกาลตรุษจีนเป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น โดยเมื่อตรุษจีนปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุว่า การเดินทางทั่วประเทศจีนลดลงถึง 70% ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันตรุษจีน
ห้ามซัก กวาด หรือทิ้งขยะ ฯลฯ สารพัดความเชื่อโชคลาง
ในช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งเป็นวันแรกของปีจันทรคตินั้นเต็มไปด้วยความเชื่อโชคลางมากมาย หนึ่งในนั้นคือการไม่อนุญาตให้สระผมหรือเสื้อผ้า เพราะเชื่อกันว่าเป็นการชะล้างโชคลาภ นอกจากนี้คนจีนยังเชื่อว่าการทำความสะอาดบ้านและทิ้งขยะในวันตรุษจีนนั้นจะเป็นการกวาดเอาเงินทองโชคภาพออกไปเสียจากบ้าน ดังนั้นจึงไม่ค่อยนิยมทำความสะอาดบ้านกันในวันตรุษจีน แต่มักจะทำกันหนึ่งวันล่วงหน้าก่อนถึงวันตรุษจีน เพื่อให้บ้านสะอาดเอี่ยมต้อนรับปีใหม่และต้อนรับแขกที่จะมาเยือน นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอื่นๆ ที่ไม่ควรกระทำกันในวันนี้อีกมากมาย เช่น ห้ามร้องไห้ งดการทะเลาะเบาะแว้งและพูดจาหยาบคาย ห้ามทำของแตก ห้ามใช้ของมีคม ห้ามให้ยืมเงิน ห้ามให้สาลี่และกระจกต่อผู้อื่น ฯลฯ เป็นต้น
สลัดมงคล ‘หยี่ซัง’
‘หยี่ซัง’ (Yu Sheng) หรือ ‘โหลเหหยี่ซัง’ (Lo Hei Yu Sheng) คือสลัดปลาดิบที่ชาวจีนนิยมรับประทานกันในเทศกาลตรุษจีน อาหารมงคลแห่งความสมบูรณ์พูนสุขจานนี้ประกอบไปด้วย ‘หยี่’ (Yu) หมายถึงปลา และ ‘ซัง’ (Sheng) หมายถึงดิบ ซึ่งก็คือเนื้อปลาดิบ อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง (ปัจจุบันนิยมใช้ปลาแซลมอน แต่ก็มีที่ใช้ปลาเนื้อแดงอย่างปลาทูน่า บ้างก็เป็นปลาเนื้อข้าว) แล่เป็นชิ้นขนาดพอดีคำและสารพัดผักหลากหลายสี ซอส และเครื่องปรุงรสต่างๆ อย่างน้ำมันถั่วลิสงที่หมายถึงความลื่นไหล งาขาวหมายถึงความเจริญงอกงาม ส้มโอหมายถึงความโชคดี รวมถึงส่วนผสมอื่นๆ อันเป็นมงคล อย่างแมงกะพรุน, หนังปลาทอด, ขิงดอง, มะละกอเชื่อม ฯลฯ วิธีการกินหยี่ซังคือต้องกินร่วมกัน เริ่มด้วยการบีบมะนาวบนปลาและกล่าวคำอวยพรให้ร่ำรวย มีชีวิตที่ราบรื่น ใส่น้ำสลัด คลุกเคล้าส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากันโดยใช้ตะเกียบคน และต้องยกตะเกียบขึ้นสูงๆ พร้อมกล่าวคำอวยพรพร้อมกันดังๆ ว่า ‘โละเฮ้’ (Loh Hey) เชื่อว่ายิ่งยกตะเกียบสูงมากเท่าไร เงินทองยิ่งไหลมาเทมา ธุรกิจการค้ารุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรง
เทศกาลอันแสนอุดมไปด้วยอาหารมงคลและของไหว้
ในเทศกาลตรุษจีนนั้นยังเต็มไปด้วยอาหารมงคลต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างก็เสริมสิริมงคลเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นหมี่ซั่ว หรือบะหมี่ ซึ่งเส้นบะหมี่ที่มีความยาวนั้นมีความหมายถึงการมีอายุมั่นขวัญยืน เมนูปลานึ่งที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เปาะเปี๊ยะหมายถึงร่ำรวยเงินทอง เนื้อสัตว์ไหว้ 3 อย่าง เรียกว่า ‘ซาแซ’ ควรมีให้ครบทั้งสัตว์มีปีก, สัตว์มีครีบ และสัตว์มีกีบเท้า ส่วนถ้าเป็นไหว้ 5 อย่างเรียกว่า ‘โหงวแซ’ บัวลอย นับเป็นของหวานยอดนิยมในเทศกาลนี้ เช่นเดียวกับขนมไหว้อย่าง ขนมกุยช่าย ขนมสาลี่ ขนมไข่ ขนมเทียน ขนมเข่ง เป็นอาทิ ซึ่งแต่ละอย่างก็ล้วนมีความหมายอันเป็นมงคลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อ่านต่อเรื่อง 5 อาหารมงคลตรุษจีน เสริมมงคลทั้งการเงิน การงาน สุขภาพ
เทศกาลที่จุดประทัดและดอกไม้ไฟมากที่สุดในโลก
ตามความเชื่อของจีนการจุดประทัดและดอกไม้ไฟถูกนำมาใช้เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ส่วนใหญ่เชื่อว่าแสงจ้าของดอกไม้ไฟและเสียงระเบิดของประทัดทำให้ปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายหวาดกลัว มีตำนานของการจุดประทัดที่เกี่ยวพันกับสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ‘ซานเซียว’ และ ‘เหนียน’ นอกจากนี้จีนยังเป็นแหล่งผลิตดอกไม้ไฟประมาณ 90% ของโลก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีการจุดพลุและประทัดกันอย่างเอิกเกริกในช่วงเทศกาลนี้ แม้ปัจจุบันในบางพื้นที่และบางประเทศอาจมีการออกข้อห้ามจุดประทัดและพลุ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะผู้คนยังคงปฏิบัติตามธรรมเนียมความเชื่อ
ส้มและผลไม้มงคลอื่นๆ ในเทศกาลตรุษจีน
ผลไม้ยอดนิยมอย่างส้ม ถือเป็นผลไม้ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งประจำเทศกาลนี้ ด้วยความที่ส้มนั้นมีสีทองที่สื่อความหมายถึงความมั่งมีศรีสุขและโชคลาภ จึงมีการไหว้เจ้าด้วยส้ม โดยจัดวางให้เป็นทรงเนินคล้ายภูเขาทอง หรือ ‘กิมซัว’ นอกจากใช้ส้มในการไหว้เจ้าแล้ว ยังนิยมมอบส้มให้แก่กันเพื่อสื่อถึงความปรารถนาดีต่อกันอีกด้วย นอกจากส้มแล้วเทศกาลตรุษจีนยังมีผลไม้มงคลอื่นๆ อย่าง กล้วย ซึ่งต้องมีลักษณะเป็นหวีหรือเครือเพื่อสื่อถึงครอบครัวที่เจริญงอกงามมีลูกหลานสืบสกุล ทั้งกล้วยสีเหลืองทองยังสื่อถึงความมั่งมี แก้วมังกรที่สื่อถึงโชคลาภ แอปเปิ้ลแดงหมายถึงสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ สาลี่คือตัวแทนของโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ทับทิมแดงหมายถึงความโชคดีและครอบครัวอันอบอุ่นไร้ความบาดหมาง ฯลฯ
ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ
ภาพ: Shutterstock
อ้างอิง: