×

เธียร์รี อองรี กับการลุกขึ้นสู้ปัญหาการเหยียดผิวบนโลกออนไลน์ และการขานรับของโลกฟุตบอล

05.04.2021
  • LOADING...
เธียร์รี อองรี กับการลุกขึ้นสู้ปัญหาการเหยียดผิวบนโลกออนไลน์ และการขานรับของโลกฟุตบอล

ถึงแม้ว่านักฟุตบอลไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออดีตจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากพื้นที่สื่อออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดีย แต่สำหรับ เธียร์รี อองรี ตำนานลูกหนังทีมชาติฝรั่งเศส และขวัญใจไม่มีวันจางของชาว ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอลแล้ว เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

 

อองรีกลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เมื่อประกาศตัดสินใจที่จะขอยุติการใช้งานโซเชียลมีเดียทุกชนิดจนกว่าบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เจ้าของแพลตฟอร์ม จะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งการเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและกว้างขวางบนแพลตฟอร์มของพวกเขา

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามีนักฟุตบอลผิวดำที่ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มแฟนบอลนิสัยเสียที่พร้อมปูพรมถล่มนักเตะเหล่านี้ด้วยการกระทำที่ไร้ยางอาย ไม่มีการคำนึงถึงคำว่าถูกหรือผิด และพร้อมจะพ่นคำพูด คำผรุสวาทอะไรก็ได้ ขอเพียงแค่สะใจเท่านั้น

 

เราได้เห็นข่าวของนักฟุตบอลชื่อดังอย่าง อองโตนี มาร์กซิยาล หรือเฟร็ด ที่ตกเป็นเหยื่อของการกระทำเหล่านี้ ไม่นับอีกมากมายที่อาจจะไม่ได้เป็นข่าว และเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นทุกวัน

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ อองรีซึ่งมีจำนวนผู้ติดตามมากถึง 2.3 ล้านคนแค่เพียงแพลตฟอร์ม Twitter จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะ ‘แบน’ ไม่ใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้อีก แม้ว่ามันจะดีต่อการสร้างหรือรักษาความนิยมของชื่อเสียง ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสในการงานและโอกาสทำเงินในอนาคตก็ตาม

 

“มันไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย และไม่มีบรรยากาศที่ปลอดภัย”​ อองรีเล่าถึงการตัดสินใจยุติการใช้งานโซเชียลมีเดียของตัวเอง “ผมแค่อยากจะยืนหยัดและบอกว่าจริงๆ แล้วสิ่งนี้มันควรเป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่โชคร้ายที่ทุกคนเปลี่ยนมันให้เป็นอาวุธ เพราะพวกเขาสามารถปกปิดตัวเองได้ด้วยการสร้างแอ็กเคานต์ปลอม

 

“ผมไม่ได้บอกว่าการมีโซเชียลมีเดียไม่ใช่เรื่องที่ดี ผมแค่พยายามจะบอกว่ามันควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย”

 

ภาพ: https://thestandard.co/muhammad-ali/

 

แรงบันดาลใจจาก ‘อาลี’

การตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้ครั้งนี้ของอองรีมาจากแรงบันดาลใจของอดีตนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ได้เก่งกาจเพียงเฉพาะในเกมการแข่งขัน แต่ยังใช้พลังของความเป็นนักกีฬาร่วมต่อสู้กับปัญหาทางสังคม

 

แรงบันดาลใจของอดีตดาวเตะชื่อดังวัย 43 ปี คือ มูฮัมหมัด อาลี นักมวยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เขาต่อสู้คือเรื่องของการส่งกำลังพลไปรบในสงครามเวียดนาม

 

“มูฮัมหมัด อาลี ไม่ต้องการไปสงคราม เขาไม่ได้รอดูว่าใครจะเห็นด้วยกับเขาไหม เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึก

 

“โปรดเข้าใว่าผม (อองรี) ไม่ได้มีความสามารถในระดับใกล้เคียงกับเขา แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่าถ้านี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกและเป็นความรู้สึกที่แรงกล้า ผมก็จะทำ ทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ผมไม่มีความสุขเลยกับการที่โซเชียลมีเดียเป็นแบบนี้”

 

ปัญหาการเหยียดสีผิวนั้นเป็นเรื่องที่มีมาช้านานในสังคมโลกและในสังคมฟุบตอล ซึ่งอองรีเผชิญกับเรื่องแบบนี้มาตลอดชีวิต และเมื่อครั้งยังเป็นผู้เล่นเขาก็พยายามที่จะต่อสู้กับเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

 

แน่นอนว่าการเจอสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจริง ด้วยการรับฟังคำที่ไม่น่าได้ยินกับหูของตัวเอง ได้เห็นสีหน้า ได้เห็นท่าทาง ของคนที่กระทำ เพราะคิดว่าความต่างทางสีผิวหมายถึงการที่ชีวิตมีศักดิ์และสิทธิ์ที่มากกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากกว่า

 

แต่ปัจจุบันกับการที่ปัญหาเริ่มถูกโยกย้ายจากในชีวิตจริง (ส่วนหนึ่งเพราะแฟนฟุตบอลไม่สามารถเข้าสนามได้) ไปสู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ปัญหาเหมือนจะรับมือได้ยากกว่า

 

เพราะบนโลกออนไลน์ทุกคนสามารถปกปิดตัวตนได้ และเขาจะพูดจะทำอย่างไรก็ได้โดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจับ เพราะต่อให้ถูกตามได้ก็แค่ปิดบัญชีทิ้ง แล้วสามารถเปิดใหม่ได้ในเวลาแค่ไม่กี่นาที แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว

 

และแม้ทุกคนบนโลกจะไม่ได้ใจร้ายเหมือนกันหมด แต่แค่ความเห็นเดียวที่เลวร้ายก็สามารถทำร้ายจิตใจของคนที่ได้อ่านมันแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่อองรีกังวล โดยเฉพาะกับเด็กที่อายุน้อยเกินกว่าจะมีกำลังใจที่เข้มแข็งพอจะผ่านมันไปได้ ซึ่งก็รวมถึงลูกสาวของเขาด้วย

 

“เวลาที่ได้อ่านคอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย ต่อให้คนเป็นล้านพูดในเรื่องที่ดี แต่แค่คนเดียวที่เหยียดสีผิวเราก็จะไปสนใจกับมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด บางครั้งเราอาจจะพยายามหาทางออกว่าเราจะทำอย่างไร? ตกลงเราคือใครกันแน่? สิ่งที่พวกเขาพูดมันหมายถึงอะไร? มันถูกต้องใช่ไหม? มันคือเรื่องจริงใช่ไหม? เราเป็นแบบนั้นจริงๆใช่ไหม? ลองคิดถึงเด็กที่ต้องเผชิญกับคำถามเหล่านี้ในหัว ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือกับมัน”

 

เลิกพูด แล้วลงมือทำ

หลังการออกมาประกาศของอองรี ทางด้านโฆษก Facebook ได้ออกมาประกาศย้ำจุดยืนของบริษัทว่า พวกเขาไม่ต้องการให้มีการเหยียดสีผิวบนแพลตฟอร์ม Instagram ที่พวกเขาเป็นเจ้าของ และจะลบทันทีเมื่อพบ

 

ระหว่างเดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว พวกเขาพบข้อความ Hate Speech บน Instagram มากถึง 6.6 ล้านชิ้น โดย 95% ของจำนวนนั้นพวกเขาพบก่อนที่จะมีการรายงานเข้ามา และได้มีการพยายามที่จะเดินหน้าอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่ละเมิดกฎในการ DM หรือการส่งข้อความโดยตรงระหว่างเจ้าของบัญชี และมีการสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยผู้คนในการปกป้องตัวเอง

 

ขณะที่ Twitter ก็ยืนยันว่า มีการกำหนดมาตรการในการป้องกันปัญหาการเหยียดผิวบนโลกออนไลน์เช่นกัน 

 

เช่นเดียวกับองค์กรฟุตบอลทั่วโลกที่พยายามที่จะรณรงค์ผ่านแคมเปญต่างๆ โดยเฉพาะหลังการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ เมื่อปีกลาย ที่จุดกระแส Black Lives Matter ซึ่งรวมถึงการแสดงออกทางสัญลักษณ์ด้วยการคุกเข่าก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่ม

 

เพียงแต่สำหรับอองรีแล้ว เขาไม่ต้องการฟังคำพูดอะไรให้เยอะแยะมากมาย

 

ใครทำอะไรกันได้ก็ควรทำเลย!

 

“ผมคิดว่าเราพูดกันมาเยอะแล้ว ผมได้ยินมามากพอแล้ว ผมอยากเห็นการกระทำ ผมอยากเห็นว่าเราจะกำจัดเรื่องพวกนี้ไปจากโลกได้อย่างไร และเราจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร

 

“การพูดคุยอย่างเดียวมันไม่ช่วยอะไรมากนัก มีการพยายามทำให้เกิดการรับรู้มากขึ้น มีแคมเปญมากมาย แต่ว่าปัญหาก็ยังมีอยู่ในทุกวันนี้ ดังนั้นผมอยากเห็นคนที่มีหน้าที่ คนที่มีอำนาจ ออกมาและชี้แจงการจัดการปัญหา”

 

เพราะถ้าหากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังเหมือนที่จัดการปัญหาเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ ทุกอย่างย่อมดีกว่านี้

 

ภาพ: https://thestandard.co/premier-league-players-to-wear-black-lives-matter-on-back-of-shirts/

 

คุกเข่าหรือไม่? สิ่งสำคัญอยู่ที่…

อีกหนึ่งสิ่งที่อองรีขอพูดถึงคือ การถกเถียงในช่วงที่ผ่านมาว่าตกลงแล้วเรายังควรที่จะให้นักฟุตบอลคุกเข่าก่อนเกม เพื่อเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ในการต่อต้านการเหยียดสีผิวหรือไม่?

 

เพราะที่ผ่านมามีทั้งคนยังเชื่อในการแสดงออกแบบนี้ที่ทำให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง และมีทั้งคนที่ไม่คิดว่ามันจะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เหมือนเช่น วิลฟรีด ซาฮา สตาร์นักเตะทีมคริสตัล พาเลซ ที่ตัดสินใจไม่คุกเข่าก่อนเกมอีก

 

สำหรับอองรี เรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงอะไรกัน และการที่เกิดการถกเถียงนั้นหมายความว่าผู้คนได้ ‘หลงลืมรากเหง้าของปัญหา’ ไปแล้ว

 

“ช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องที่ว่าควรจะคุกเข่าหรือยืนหยัด แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาถกเถียงอะไรกัน” อองรีกล่าว

 

“มันไม่ใช่เรื่อง เพราะเรื่องที่สำคัญคือ คุณจะทำอะไรเพราะที่จะทำให้ทุกคนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น? ทำอย่างไรให้เกิดความเท่าเทียมกัน และแน่นอนว่าผมเองก็อยากจะพูดถึงเรื่องความเป็นอยู่ของคนในโลกของผม

 

“เรื่องการคุกเข่าหรือการยืนไม่ใช่หัวใจอะไรมากนัก เพียงแต่ส่วนตัวผมคิดว่าการคุกเข่านั้นก็เป็นการส่งข้อความที่แข็งแรง และเราทุกคนรู้ว่ามันเกิดขึ้นจากที่ไหน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเริ่มมีการพูดถึงว่าเราควรจะยืนหรือควรจะคุกเข่า

 

“ตกลงแล้วอะไรคือสาเหตุ อะไรคือหัวใจของเราที่ทำให้เราต้องทำสิ่งนี้ในครั้งแรก หรือทำไมเราควรจะยังทำมันต่อไป สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเราก็ดันพยายามจะลืมมันไป”

 

อย่างไรก็ดี อองรีคิดว่าคือการที่สื่อพยายามเอาไมค์ไปจ่อปากนักฟุตบอลหรือคนที่เป็นเหยื่อ ซึ่งสำหรับเขาแล้วคนเหล่านี้จะแสดงความเห็นอย่างไรก็ดี

 

แต่ทำไมสื่อถึงไม่เอาไมค์ไปจ่อปากถามคนที่มีหน้าที่ในการจัดการปัญหา หน่วยงานต่างๆ โดยที่ไม่ใช่จะรอแค่แถลงการณ์ออกมา แต่ให้พวกเขาได้พูดแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้บ้าง 

 

“และพวกเขาจะทำอะไรต่อไปบ้าง?”

 

 

การขานรับจากโลกฟุตบอล

สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นคือความพยายามของอองรีในการจุดกระแสต่อต้านการเหยียดสีผิวบนโลกออนไลน์เริ่มได้การตอบรับในทางที่ดี

 

อาร์เซนอล อดีตต้นสังกัดของเขา ร่วมรณรงค์ในแคมเปญ #StopOnlineAbuse หยุดการเหยียดสีผิวบนโลกออนไลน์

 

“โซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในหนทางที่ทำให้แฟนๆ ทั่วโลกได้ใกล้ชิดกับสโมสรและนักฟุตบอลของพวกเขา แต่ในโลกของฟุตบอลและกว้างไกลกว่านั้น เราได้เห็นโลกออนไลน์ที่กลายเป็นพิษด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง การเหยียดเชื้อชาติ และคำพูดเหยียดสีผิว” สาส์นจากทีม Gunners ถึงเหล่า Gooners

 

โดยอาร์เซนอลได้มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทุกแห่ง เพราะช่วยสอดส่องดูแลและรับมือกับการเหยียดผิวที่เกิดขึ้น และจะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจังด้วย

 

“คุณจะอธิบายนักฟุตบอลผิวดำได้อย่างไร ในเมื่อคอนเทนต์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ถูกจัดการภายในเวลาไม่กี่นาที แต่การเหยียดสีผิวกลับไม่มีการทำในแบบเดียวกัน” วิไน เวนเกทชาม ผู้บริหารใหญ่ของอาร์เซนอล กล่าว

 

ขณะที่ทีม​ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มีแคมเปญในการต่อสู้กับปัญหาการเหยียดสีผิวที่ชื่อว่า ‘See Red’ ที่สานต่อโครงการเดิมในการต่อสู้กับปัญหามะเร็งร้ายของสังคมโลกที่ชื่อว่า Red All Equal 

 

See Red นั้นต้องการให้แฟนบอลทุกคนมีส่วนร่วมในการรณรงค์เรียกร้องและรายงานการเหยียดสีผิวหรือการก่ออาชญากรรมออนไลน์ รวมทั้งร่วมกันยืนหยัดเคียงกับคนที่ถูกเหยียดสีผิว

 

“(แมนฯ) ยูไนเต็ดนั้นตลอดมาและตลอดไปจะเป็นสโมสรสำหรับทุกผู้ทุกคน เราไม่เชื่อว่าแฟนบอลที่แท้จริงจะเป็นคนเหยียดสีผิว และในวันนี้เราขอให้แฟนๆ เข้าร่วมกับการในการต่อสู้กับเรื่องนี้”

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะแม้ปัญหาการเหยียดสีผิวในเกมฟุตบอลนั้นจะหยั่งรากลึกจนต้นไม้ออกผลไม้พิษมาหลายต่อหลายรุ่น แต่หากทุกคนร่วมมือกันและต่อสู้กับมันอย่างจริงจัง จริงใจ ด้วยวิธีที่สร้างสรรค์

 

สักวันมันจะต้องดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising