×

ตีแผ่อุตสาหกรรมไทย ‘ไร้ศักยภาพ’ หรือแค่ ‘ไร้เข็มทิศ’?

โดย THE STANDARD TEAM
23.10.2025
  • LOADING...
the-standard-economic-forum-2025-thailands-next-frontier

ดูเหมือนประเทศไทยจะสลัดป้าย ‘The Sick Man of ASEAN’ หรือ คนป่วยแห่งอาเซียน ที่ถูกแปะมากว่าทศวรรษไม่หลุดสักที อาการป่วยเรื้อรัง ฉุดให้ไทยกำลังถูกกลืนหายไปในแผนที่โลก 

 

ตัวเลข GDP ที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าศักยภาพและยังรั้งท้ายกลุ่มประเทศอาเซียน ดีดไทยให้หลุดออกจากประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย

 

อาจต้องทบทวนกันอย่างจริงจังแล้วว่า การที่ไทยรอดวิกฤตหลายต่อหลายครั้งเพราะเรามีฐานรากที่ดีหรือเรา ‘แค่โชคดี’ มิหนำซ้ำยังมีปัญหาที่ถูกซุกไว้ใต้พรม

 

วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นความท้าทายจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและสารพัดกับดักที่ฉุดรั้งประเทศ

 

คำถามคือ ไทย ‘ไร้ศักยภาพ’ หรือแค่ ‘ไร้เข็มทิศ’?

 

หนึ่งในแนวทางสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ คือ “ยกระดับอุตสาหกรรมไทย” และการสร้าง “อุตสาหกรรมใหม่ๆ” เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง (S-Curve) และเทคโนโลยีที่เน้นนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลต่อ GDP ประเทศ

 

เจาะ 5 อุตสาหกรรมเสาหลัก

 

1. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว: การเปลี่ยนผ่านจาก ‘ปริมาณ’ สู่ ‘คุณภาพ’

 

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีผลกระทบสูงต่อ GDP ไทย ปี 2562 เคยทำตัวเลขสูงถึง 11.5% ของ GDP ประเทศ แต่อุตสาหกรรมที่เคยเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวลงในปีนี้และมีแนวโน้มเติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่งในปีหน้า

 

ข้อมูลล่าสุด (ต.ค. 2568) ระบุว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 25.1 ล้านคน ลดลง 7.54% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ธุรกิจที่พึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอาจต้องปรับกลยุทธ์

 

รูปแบบและพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับที่พักและบริการที่มีคุณภาพสูง สัดส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่ม Gen Z และ Millennials ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการประสบการณ์และรางวัลชีวิตจากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวโดยรวมเน้นความคุ้มค่ามากขึ้น ให้คุณค่ากับสินค้าหัตถกรรม และสนใจกิจกรรมที่เป็นกระแสสังคม สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาจต้องปรับกลยุทธ์ไปสู่การนำเสนอ ‘ประสบการณ์เชิงคุณค่า’ ให้มากยิ่งขึ้น

 

ความท้าทาย คือ การพึ่งพาตลาดเดี่ยวทำให้ระบบท่องเที่ยวไทยเปราะบางต่อการผันผวนของเศรษฐกิจหรือมาตรการควบคุมของประเทศต้นทาง รวมไปถึงความไม่แน่นอนของจำนวนผู้เดินทาง ส่งผลให้การคาดการณ์ไม่แม่นยำ แรงกดดันจากการแข่งขันในภูมิภาคที่มีจุดขายใหม่และต้นทุนที่ถูกกว่า

 

พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์สู่พรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

 

การวางนโยบายที่มองภาพรวมแบบครบมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมนวัตกรรมในภาคบริการจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยก้าวสู่น่านน้ำใหม่ ด้วยการปรับกระบวนทัศน์ เปลี่ยนมุมมองจากการเน้น ‘ปริมาณนักท่องเที่ยว’ ไปสู่การสร้าง ‘คุณภาพและคุณค่า’ พัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพนำเสนอประสบการณ์เฉพาะด้าน เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษาเชิงวัฒนธรรม ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงเพิ่มมากขึ้น

 

ส่งเสริมการท่องเที่ยวประเภทใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness tourism) และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (medical tourism) และขยายการตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย กลุ่มตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก เพื่อลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมๆ

 

ลงทุนฝึกอบรมภาษา วัฒนธรรม การบริการระดับสูง และทักษะดิจิทัล เพื่อเพิ่มความแตกต่างในการแข่งขัน นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบสนองแบบ Personalization และปรับแผนการตลาดแบบเรียลไทม์ รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานภาพลักษณ์ ความปลอดภัย และความโปร่งใส และแก้ไขนโยบายฟรีวีซ่าเพื่อป้องกันและปราบปรามกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร 

 

2. อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ: ขับเคลื่อนสู่ Medical Hub แห่งอาเซียน

 

อุตสาหกรรมนี้จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมดาวรุ่งที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ให้ความสำคัญ ขณะเดียวกันภาครัฐเองได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจสุขภาพ โดยตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่า 690,000 ล้านบาทในปี 2568 ซึ่งคิดเป็น 3.39% ของ GDP ประเทศไทย โดยมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)  

 

ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ก็ขานรับนโยบายนี้ และเดินหน้ายกระดับภูมิปัญญาไทยและนวดไทย ต่อยอดสมุนไพรไทย ยาไทย และอาหารไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ ยกระดับศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง และส่งเสริมธุรกิจและบริการด้านสุขภาพบุคคลและความงาม

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพสูงทั้งในด้านการบริการ การผลิต และการวิจัย ที่ผ่านมาไทยถูกวางตำแหน่งให้เป็นศูนย์กลางการรักษาโรคและศัลยกรรมที่มีคุณภาพสูง แต่ราคาถูกกว่าประเทศพัฒนาแล้ว บุคลากรทางการแพทย์มีคุณภาพสูง ในขณะที่ตลาดเครื่องมือแพทย์ก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในเดือน ม.ค.-เม.ย.2568 ไทยส่งออกเครื่องมือแพทย์ 42,695 ล้านบาท และนำเข้าที่ 31,477 ล้านบาท หากส่งเสริมการลงทุนและนำนวัตกรรมการแพทย์แบรนด์ไทยมาใช้ในโรงพยาบาลจะช่วยลดการพึ่งพานำเข้าของนวัตกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง 

 

พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์สู่พรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ

 

มูลค่าเป้าหมาย 6.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.39% ของ GDP ที่คาดการณ์ไว้ อาจได้แรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ตลาดยา ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ร้านขายยา และธุรกิจจำหน่ายยา รวมไปถึงการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism)

 

ภายใต้โครงสร้างและพลวัตที่หลากหลายของอุตสาหกรรมนี้ที่ต่างก็ทำผลงานได้ดีในที่ทางของตัวเอง แต่หากจะทำให้ทั้งอุตสาหกรรมขยับจนดัน GDP ไทยให้พ้นขีดอันตรายได้ อาจต้องสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงกันเองในอุตสาหกรรม ยิ่งหากมีการผนวกรวมเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมชีวภาพ และนโยบายสนับสนุนจากรัฐ ช่วยกันยกระดับนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต นอกจากจะดันไทยให้ก้าวสู่การเป็น Medical Hub อย่างสง่างามแต่จะมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในระยะยาว

 

3. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: เปลี่ยนเกียร์สู่ High Value-Added

 

อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเสาหลักแห่งอนาคตของเศรษฐกิจไทย เป็นผลมาจากการเข้ามาเปิดฐานการผลิตและการลงทุนในชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าของไทยคิดเป็น 29% ของ มูลค่าการส่งออกทั้งหมด

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้รัฐบาลกำลังผลักดัน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0

 

หากย้อนมองเฉพาะภาพรวมการส่งออกอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2024 มีมูลค่าราว 51.33 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 1.74 ล้านล้านบาท สอดคล้องกับ ‘Outlook Electronics 2025’ ของ LH Bank คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2025–2026 จะมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากวงจรขาขึ้นของอุปสงค์ทั่วโลก

 

แต่ความท้าทายที่ไทยกำลังเผชิญตอนนี้คือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์นำไปสู่กระแสการย้ายฐานการผลิต และเกิดการแบ่งขั้วเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการขาดความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับต้นน้ำ เช่น อุตสาหกรรมชิป หรือการลงทุนในสินค้าเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงอย่าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และ AI ยังน้อยกว่าคู่แข่งในอาเซียน รวมไปถึงการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ อีกทั้งความไม่แน่นอนในนโยบายพลังงานอาจสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน

 

พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์สู่พรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

 

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แนะให้ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำและเทคโนโลยีขั้นสูง ยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเดิมให้มี High Value และ High Technology รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิตระดับต้นน้ำเพิ่ม High value-added  

 

ปรับกลยุทธ์เชิงรุกสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ตอบโจทย์เทรนด์โลก อาทิ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สามารถรองรับเทคโนโลยี AI และลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน การเร่งพัฒนาแรงงานทักษะสูงในประเทศก็สำคัญ สร้างหลักสูตรพัฒนากำลังคน Upskill & Reskill ร่วมกับมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน พร้อมสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ในเรื่องของศูนย์ทดสอบและการรับรองมาตรฐานสากล

 

หากไทยสามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมให้เสถียร เพิ่มแรงงานทักษะสูงเข้าสู่อุตสาหกรรม ดันสินค้าดาวเด่นให้เป็นตัวขับเคลื่อนมูลค่าส่งออก มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าสร้างพรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรมได้ แต่หากไม่สามารถรับมือกับความเสี่ยงของซัพพลายเชน หรือขาดแรงงานเชี่ยวชาญ ประเทศไทยอาจเสียโอกาสให้คู่แข่งในภูมิภาค 

 

4.อุตสาหกรรมเกษตร-อาหาร: เพื่อพลิกโฉมสู่ ‘ฐานเศรษฐกิจใหม่’

 

อีกหนึ่งหัวใจของเศรษฐกิจไทย อุตสาหกรรเกษตรและอาหาร (Food & Agriculture) ข้อมูลจาก World Bank เผยว่า ปี 2024 มีมูลค่าการผลิตจากอุตสาหกรรมนี้กว่า 8.7% ของ GDP แต่เกษตรกรไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากราคาพืชผลตกต่ำ ต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น ภาวะภูมิอากาศแปรปรวน และการขาดแรงงาน

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่า รายได้เกษตรกรเฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2024 ลดลงราว 4.5% YoY แม้ปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารจะเพิ่มขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ การพึ่งพาสินค้าส่งออกเพียงไม่กี่ชนิด อาทิ ข้าว น้ำตาล ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ทำให้ไทยเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก และมีมูลค่าเพิ่มต่ำในห่วงโซ่การผลิตเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามหรือมาเลเซีย

 

ความท้าทายสำคัญคือ เรื่องของโครงสร้างต้นทุน แรงงาน และโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็น ราคาต้นทุนการผลิตต่อไร่ของเกษตรกรไทยสูงกว่าคู่แข่งเฉลี่ย 10–20% ปัญหาขาดแคลนแรงงานข้ามชาติเนื่องจากนโยบายแรงงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้นในไทย ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์เย็น (cold chain) ไม่ทั่วถึง ทำให้สินค้าเกษตรสดสูญเสียมูลค่าเฉลี่ย 15–20% ระหว่างขนส่ง และขาดการลงทุน R&D ทำให้ประสิทธิภาพต่อไร่ต่ำกว่าเกณฑ์โลก 

 

พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์สู่พรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรมเกษตร-อาหาร

 

เร่งเสริมสภาพคล่องระยะสั้น คุ้มครองรายได้เกษตรกร ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นสูง (Agri-Processing) เช่น อาหารพร้อมทาน อาหารสุขภาพ โปรตีนทางเลือก และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่าน BOI เพื่อเพิ่มมูลค่าในประเทศ

 

ลงทุนระบบชลประทานอัจฉริยะ เช่น โครงการ Smart Irrigation และระบบเก็บกักน้ำขนาดเล็กในพื้นที่เสี่ยงแล้ง จะช่วยให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ต่อเนื่อง และลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันเร่งเพิ่มการเข้าถึงเครื่องจักรกลโดยไม่ต้องลงทุนให้กับเกษตรกรรายย่อยโดยร่วมมือกับภาคเอกชน ไปจนถึงการสร้างระบบข้อมูลและตลาดโปร่งใส

 

เพื่อให้ไทยเปลี่ยนจาก ‘การผลิตปริมาณมาก–กำไรน้อย’ สู่ ‘การผลิตน้อย–มูลค่าสูง’ ผ่านการแปรรูป เทคโนโลยี และการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรเกษตรและอาหารให้เป็น ‘ฐานเศรษฐกิจใหม่’ ที่สร้างมูลค่าและความมั่นคงให้ประเทศ

 

5. อุตสาหกรรม AI: พรมแดนใหม่ที่ต้องลงทุนและพัฒนาล่วงหน้า

 

อุตสาหกรรม AI อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำคัญที่ทำให้ไทยก้าวสู่พรมแดนใหม่ได้ ช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรม AI ของไทยเปลี่ยนจากการทดลองเชิงรุกสู่ช่วงขยายตัวเชิงพาณิชย์มากขึ้น เห็นได้จากการที่รัฐบาลบรรจุ AI ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือการจัดทำแผน National AI Action Plan มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียนภายในปี 2570 ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัย การสร้างบุคลากร และกรอบจริยธรรม

 

จากการศึกษาของธนาคารโลก พบว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการนำ AI มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 25% ภายในปี 2030 ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับข้อมูลจาก พบว่าภายในปี 2030 ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นถึง 35%

 

ยิ่งไปกว่านั้น เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพและบริษัทด้าน AI และการเข้ามาลงทุนเปิดศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคในไทยของ Microsoft และโครงการ data hosting ขนาดใหญ่จาก TikTok ทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรม AI เป็นไปได้จริง

 

อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความท้าทายเรื่องแรงงานทักษะสูงทำให้ต้นทุนบุคลากรสูงและเกิดการแข่งขันระหว่างภาคธุรกิจ รวมถึงต้นทุนในการผลิตซอฟต์แวร์ AI ที่สูง อีกทั้งความโปร่งใสของโมเดล และมาตรฐานความปลอดภัยของ AI ยังไม่เป็นเอกภาพ ประเทศเพื่อนบ้านก็พยายามหาโอกาสจากช่องโหว่เหล่านี้

 

พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์สู่พรมแดนใหม่ของอุตสาหกรรม AI

 

ไทยอาจต้องเร่ง Upskill แรงงานคนแบบมีเป้าหมาย จับมือกับภาคเอกชนเปิดโปรแกรมเร่งทักษะสำคัญ สร้างทางลัดสำหรับแรงงานภาคธุรกิจ ทั้งหมดนี้ควรทำไปพร้อมกับการแก้ไขอุปสรรคข้อมูลเชิงปฏิบัติได้ เช่น ให้หน่วยงานรัฐและเอกชนสามารถใช้ข้อมูลเทรนโมเดลได้ภายใต้ PDPA-compliant framework รวมถึง ออกกรอบกฎระเบียบ AI ที่ชัดเจนและปฏิบัติได้ เพื่อให้ธุรกิจรับทราบข้อกำหนดความรับผิดชอบและการกำกับดูแลล่วงหน้า

 

ด้านการลงทุนจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ภาษีสำหรับการตั้ง Data Centers ที่ใช้พลังงานสะอาด และ Matching Grants สำหรับโครงการ R&D ร่วมภาคธุรกิจและมหาวิทยาลัย หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ไทยสามารถก้าวข้ามจากการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีไปสู่การเป็นผู้สร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ และ Deep Tech สู่การเป็น ‘ผู้สร้าง Sovereign AI’  

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางและมุมมองให้กับผู้นำที่กำลังพยายามตีโจทย์ใหม่ภายใต้เงื่อนไขเดิม ยังมีอีกหลากแนวทาง หลายมุมมอง และข้อมูลที่นำไปสู่  ‘เข็มทิศ’ ที่พาคุณก้าวสู่พรมแดนใหม่ที่แม่นยำกว่าเคย

 

คว้า ‘เข็มทิศ’ และก้าวสู่ ‘พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย’ ไปด้วยกันที่งาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier  5-7 พฤศจิกายน 2025 ที่ Paragon Hall, Siam Paragon

ติดตามรายละเอียดและจองบัตรที่  Ticket ›

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising