ทันทีที่ปล่อยภาพโปรโมตและตัวอย่างแรกของ เพื่อน..ที่ระลึก ออกมา ความสนใจของคนส่วนใหญ่พุ่งไปที่ วิกฤตต้มยำกุ้ง ตึกร้าง และผี แต่ THE STANDARD พุ่งความสนใจไปที่ บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ นางเอกของเรื่อง ที่ตัดสินใจก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนในโลกของละคร พิธีกร และเวทีเดินแบบ เพื่อก้าวสู่โลกของศาสตร์การแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในชีวิต
เราชวนเธอมาคุยทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต เพื่อเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังและชีวิตจริง ทั้งความเชื่อเรื่องผี การแสดง เพื่อน ความรักและลูก ซึ่งหลายสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบ ทำให้เรารู้ว่าแม้แต่ผู้หญิงแกร่งที่ดู ‘สตรอง’ และ ‘แซ่บ’ อย่างเธอก็ยังมีมุมที่อ่อนไหวและต้องปรับตัวไม่ต่างกับผู้หญิงธรรมดาทั่วไป
คน..น่ากลัวกว่าผี
ตามปกติเป็นคนเชื่อเรื่องผีมากขนาดไหน
เชื่อว่ามี ตอนเด็กๆ ได้ยินเสียงบ่อยมาก ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ นะ แต่ว่ากลัวมาก เพราะว่าได้ยินเรื่องเล่าบ่อย สมัยก่อนที่บ้านจะติดกับทุ่งร้างๆ แล้วได้ยินเสียงเล็กๆ แหลมๆ ตลอด แม่บอกว่านี่คือเสียงผีเปรต แล้วก็เล่าให้ฟังว่าผีเปรตเป็นผีที่ตกอับที่สุด ต้องขอส่วนบุญคนอื่น ตัวใหญ่ ปากเล็ก กินอาหารไม่ได้ สำหรับเราตอนนั้นเป็นภาพที่น่ากลัวมากเวลาจินตนาการถึง แต่พอโตขึ้นมากลายเป็นว่าเราไม่ได้กลัวผีแล้ว กลัวคนมากกว่า
คนน่ากลัวกว่าผียังไงบ้าง
พอเราไม่ได้เจอผีจริงๆ เลยรู้สึกว่าผีทำร้ายเราได้แค่ในความรู้สึก หรือในจินตนาการ แต่คนทำร้ายเราได้ทุกอย่าง ยิ่งสมัยนี้บีไม่รู้ว่าคนใจร้ายมากขึ้นหรือเปล่า อาจจะเป็นเพราะเรารู้อะไรมากขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้เห็นว่าคนทำร้ายกันโดยที่มองเป็นเรื่องปกติ มีคลิปให้เห็นถึงความน่ากลัว ทำร้ายสัตว์ ฆ่ากันตาย ทำร้ายร่างกายได้โดยที่อีกคนยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ ทำให้บีค่อนข้างเป็นคนระวังตัวมากเวลาจะออกไปไหน แค่โทรศัพท์ในที่มืดๆ อันตราย ก็กลัวแล้ว กลัวมีคนเอามีดมาฟันแขนแล้วแย่งโทรศัพท์ไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราต้องทำร้ายกันขนาดนี้เลยเหรอ เพื่อของแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
เคยเจอประสบการณ์น่ากลัวจากคนจริงๆ บ้างไหม
นี่แทบไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ ตั้งแต่เด็กๆ ประมาณ 5 ขวบ ตอนนั้นแก๊งรถตู้ลักพาตัวเด็กกำลังดังมาก แล้วบีเกือบโดนลากขึ้นรถตู้ แถวบ้านบีจะเป็นลานเล็กๆ มีโขดหินที่เด็กๆ ชอบไปเล่นปีนต้นไม้ เก็บลูกตะขบมากิน ตอนนั้นบีอยู่ตรงนั้นแล้วมีรถตู้มาจอด อยู่ๆ ผู้ชาย 2 คนลงมาจากรถ แล้วพยายามอุ้มบีขึ้นไป แต่โชคดีบีเป็นเด็กตัวใหญ่แรงเยอะ พยายามดิ้น ถีบ กัด แล้วเขาคงอุ้มเราไม่ไหว ก็เลยหนีรอดมาได้ น่ากลัวมากนะ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าตอนนี้บีจะเป็นยังไงเลย ยังจำเหตุการณ์ได้แม่นอยู่เลย ทำให้ค่อนข้างระวังตัวมาตั้งแต่ตอนนั้น
เป็นธรรมเนียมไปแล้วของกองถ่ายหนังผีที่จะต้องเจอเหตุการณ์แปลกๆ ในกองถ่าย อย่างบีเองได้เจอเหตุการณ์แบบนั้นบ้างหรือเปล่า
คิดว่าใช่นะ (หัวเราะ) คนอื่นเจอเยอะมาก แต่บีมีแค่ช็อตเดียว คือระหว่างทางเดินขึ้นชั้น 7 และ 8 ที่เป็นลานกว้างโล่งๆ ก็เห็นอะไรไม่รู้เป็นเสื้อ หรือแสงเงาสีขาวๆ แวบผ่านไป เหมือนช็อตเวลาเห็นในหนังผีเลย อึ้งๆ คิดว่าตาไม่ฝาดแน่ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ได้ยินคนในกองพูดว่าเจอคนใส่ชุดสีขาว สีน้ำเงินเต็มไปหมด เลยคิดว่าน่าจะใช่แล้วแหละ แต่เขาก็ไม่ได้มาทำอะไรเรา แล้วบีไม่ใช่คนลบหลู่เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ก่อนทำอะไรจะยกมือไหว้ก่อนทุกครั้ง อย่างที่บอกว่าไม่ได้กลัว แต่ถ้าเจอจริงๆ ก็น่าจะวิ่งคนแรกเหมือนกัน (หัวเราะ)
บรรยากาศบนตึกสาทร ยูนีค ที่ใช้ถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง น่ากลัวเหมือนที่เขาร่ำลือกันจริงไหม
บรรยากาศน่ากลัว แค่ตอนแรกเราอยู่ข้างล่างแล้วมองขึ้นไปข้างบนก็จะรู้สึกว่าสูง เก่า อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด มีความน่ากลัวอยู่ แต่มันก็มีเสน่ห์ มีความขลังบางอย่าง ยิ่งเวลาอยู่ข้างบนชั้น 47 แล้วมองออกไปข้างนอกจะสวยมาก มองเห็นอะไรได้กว้างมากเลย ตอนกลางวันสวยแบบหนึ่ง ตอนกลางคืนก็สวยอีกแบบหนึ่ง มันเป็นความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในความน่ากลัว มีความลึกลับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งเข้าใจได้เลยว่าทำไมคนชอบขึ้นมาข้างบนกัน
แต่เอาจริงๆ สิ่งที่น่ากังวลตอนถ่ายหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ผีนะ แต่เป็นการเตรียมร่างกายไปถ่ายทำนี่และ เพราะว่าต้องขึ้นไปถ่ายที่ชั้น 47 แบบเดินเท้า ไม่มีตัวช่วยอะไรทั้งนั้น ก่อนถ่ายคิดว่าเตรียมตัวอย่างดี วิ่งวันละ 1-2 ชั่วโมงอาทิตย์ละ 3 วัน ทำได้อยู่แล้ว แต่พอวันแรก แค่เดินขึ้นชั้น 5 ขาอ่อนแล้ว (หัวเราะ) จะบ้าเหรอ แล้วอีก 42 ชั้นจะทำยังไง ไหนจะฝุ่นที่เกาะมา 20 ปี ทางเดินที่ไม่เรียบร้อย แค่ระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือเป็นลมไปก่อนก็ยากแล้ว ยังไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องผีเลย (หัวเราะ)
นอกจากความเชื่อเรื่องผี มีความเชื่อเหนือธรรมชาติอย่างอื่นอีกไหมที่คุณเชื่อว่ามีอยู่จริงแน่ๆ
เรื่องบาปกับบุญ ซึ่งมีจริงหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีหลักยึดในการใช้ชีวิตว่าเราจะไม่ทำร้ายใคร ยิ่งพอโตขึ้น ทำงานมากขึ้น ได้เรียนรู้จากคนที่หลากหลาย เรายิ่งไม่อยากทำไม่ดีกับใคร พยายามมองโลกในแง่บวกมากขึ้น ถ้าคนอื่นเขามาเนกาทีฟใส่ เราจะเดินออกทันทีไม่เดินเข้าไปยุ่ง
เพื่อน..ที่ยังสำคัญ
ตั้งแต่สมัยเด็ก เราจะเห็นภาพเด็กหญิงบีเวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนเป็นยังไงบ้าง
ตอนเด็กๆ จะเล่นอยู่กับเพื่อนแถวๆ บ้าน เป็นเด็กห้าวๆ หน่อย ปีนต้นไม้ ดีดลูกแก้ว นานๆ ทีจะมีเล่นโดดหนังยางบ้าง (หัวเราะ) พอเริ่มเข้ามัธยม เป็นเด็กผู้หญิงตัวใหญ่อยู่ในแก๊ง กินเก่ง ไปโรงเรียนแบบหัวฟูๆ ไม่แต่งหน้า ทุกคนก็จะเรียกว่าพี่บี หัวฟู (หัวเราะ) นั่งหลังห้อง เอาเม็ดก๋วยจี๊มากิน แต่ไม่โดดเรียน
แล้วก็ชอบเล่นดนตรี สมัย ม.3-ม.5 ต้องหิ้วกีตาร์ไปเล่นที่โรงเรียนทุกวัน ฝึกเล่นเองด้วยนะ เอาหนังสือเพลงมาเปิด ฝึกจับคอร์ดแล้วก็เล่นไปเรื่อยๆ จำได้เลยเพลงแรกที่เล่นคือเพลง ก่อน ของโมเดิร์นด็อก เล่นง่ายเพราะมี 4 คอร์ด นอกนั้นก็พวก เธอคือความฝัน ของวงพราว สุกัญญา มิเกล อะไรพวกนั้น จะมีที่ประจำคือโต๊ะม้าหินข้างสนาม บางทีตั้งเป็นแก๊งเด็กผู้หญิงร้องเพลงกัน ก็จะมีเด็กผู้ชายมาแจมบ้าง สนุกมากเลยช่วงนั้น
ให้ความสำคัญกับเพื่อนมากขนาดไหน
มาก บีเป็นคนไม่ยอมคนนะ คือจะไม่หาเรื่อง แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องนี่สู้ทันที ตบเป็นตบ (หัวเราะ) บางทีจิกกันจนมีแผลเป็นมาจนทุกวันนี้เลย อันนั้นคือถ้าตัวเองมีเรื่อง แล้วถ้าเป็นเพื่อนของบีมีเรื่องหรือมีคนมาหาเรื่องก็จะยิ่งไม่ยอมเข้าไปอีก สู้ขาดใจ ใครจะมาทำร้ายไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเพื่อนคือสิ่งสำคัญในชีวิต โดยเฉพาะสมัยมัธยมปลายที่ทุกอย่างมันดูบริสุทธิ์มากๆ ทุกคนเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราเลยเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนมากๆ มาตลอด
แล้วพอมีเหตุการณ์ที่ต้องทะเลาะกับเพื่อนด้วยเรื่องธุรกิจ ตอนนั้นเปลี่ยนความคิดเรื่องเพื่อนของคุณไปบ้างไหม
ถ้าบีรักใครไม่ว่าจะแฟนหรือเพื่อน จะเป็นคนที่ให้ใจเต็มร้อยมาตลอด พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น บีได้เรียนรู้ว่าเราควรจะช่างน้ำหนักก่อน คนบางคนเขาอาจจะไม่ได้ให้ใจเรา เขาอาจจะมาเพื่อหาผลประโยชน์จากเราก็ได้ คือเราไม่ได้ปิดกั้นตัวเองนะ พยายามไม่มองว่าคนไหนดีหรือไม่ดียังไง ถ้าคบกันได้ ช่วยกันได้ก็โอเค แต่จากเดิมที่ให้ใจเต็มร้อย ตอนนี้อาจจะเหลือแค่ 70-80%
รู้สึกเสียดายไหม จากคนที่ให้เพื่อนได้เต็มร้อย แต่ตอนนี้เราต้องเผื่อใจกับเพื่อนที่เราเคยมีความสุขและให้ความสำคัญได้มากๆ
(คิดนาน) เราจะหวังแบบที่เราไม่เกร็งนะ ไม่รู้ว่าเสียดายมากขนาดไหน แต่เวลามีคนใหม่เข้ามาก็ยังเปิดใจ เรียนรู้ แค่ต้องเตรียมใจ เพราะพอไม่เตรียมใจแล้วเราเจ็บมาก ทุกวันนี้ก็ยังมีเพื่อนดีๆ ที่ยังคบกันอยู่อย่างพี่จอย (รินลณี ศรีเพ็ญ) หรือพี่ ออร์แกน (ราศี วัชราพลเมฆ) ก็ยังเป็นแก๊งที่สนิทกันมากๆ บีเชื่อว่าคนที่ไม่จริงใจต่อกัน สักวันเขาจะไม่มีแก๊งที่สามารถพูดคุยหรือแฮงเอาต์ได้ด้วยอีกต่อไป เพราะเขาต้องไปอยู่ในโลกของตัวเองแล้วล่ะ แต่บียังเหมือนเดิม มีเพื่อนเหมือนเดิม ซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์จากกันแค่นั้นพอ
โอกาส..ที่ยังระลึกถึง
ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรบ้างไหมที่ทำให้คุณต้องย้อนกลับไปคิดถึงอยู่บ่อยๆ
คำถามนี้ตอบยากมากเลย เพราะบีเป็นคนที่ถ้าเรื่องในอดีตผ่านไปแล้วจะทิ้งไว้ข้างหลังเลย ไม่กลับไปคิดถึงอีก อย่างแฟนคนแรกที่ทุกคนบอกว่าลืมไม่ได้แน่ๆ ต้องกลับไปคิดถึงเขา แต่สำหรับบี ทิ้งแล้วทิ้งเลย คือตอนที่รักก็จะรักมากนะ รักอยู่อย่างนั้น กว่าจะเลิกได้แทบตาย ใช้เวลาอยู่นาน แต่พอตัดสินใจเลิกได้แล้ว ได้ยินเสียงหรือคำพูดอะไรของเขามันจะกลายเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ฟังอะไร ทิ้งแบบไม่เหลือซากแล้วตัดฉับได้ทันที
ถ้าเป็นเรื่องที่ดี มีความสุขล่ะ จะเก็บเอาไว้บ้างไหม
เก็บเอาไว้ทุกอย่างเลย อย่างเราเข้าวงการมาได้เพราะอะไรก็จะระลึกถึงคนที่ให้โอกาสเรามาถึงวันนี้ ได้เล่นเรื่อง เพื่อน..ที่ระลึก ก็นึกถึงผู้ใหญ่ที่เรียกเราเข้ามา เพราะบีอยากเล่นหนังมานานมาก มีคนติดต่อมาเยอะ แต่ไม่เคยรับเล่นเลย แล้วบีอยากร่วมงานกับ GDH มีความฝันถ้าเล่นหนักสักเรื่องเราอยากเล่นของค่ายนี้ ต้องขอบคุณที่เขาให้โอกาสเรา แล้วไม่ใช่แค่เรื่องค่ายอย่างเดียว รวมทั้งตัวบท ตัวหนัง รู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วเราโชคดีจังที่ได้มาอยู่ตรงนี้ บีคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นอกจากต้องเก่ง ต้องมีบุญวาสนาที่ดี แล้วตั้งแต่ทำงานมา บีเป็นคนมีโอกาสที่ดีมาตลอดในชีวิตก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสด้วย
ตอนที่อ่านบท มีฉากไหน หรือจุดไหนหรือเปล่าที่พอเห็นแล้วทำให้คิดว่าต้องรับเล่นเรื่องนี้ให้ได้
อยากเล่นทุกฉากเลย พูดจริงๆ ไม่ได้ตอบเอาใจนะ (หัวเราะ) ตอนแรกบีไม่คิดว่าจะชอบทางสายนี้ หลายคนถึงบอกว่ามันเป็นเสน่ห์ของหนังที่ใครได้ลองทำแล้วจะติดใจ เออ ตอนนี้เราเป็นแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ) นอกจากเรื่องบทที่ดี ที่รอให้เราไปเล่น บียังรอที่จะได้ไปกองถ่าย อยากไปทำงาน อยากทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง อยากเห็นทีมงามมืออาชีพ โดยเฉพาะพี่หญิง (นิรมล รอส-ช่างภาพของค่าย GDH) ที่เป็นไอดอลของบีตอนนี้เลย พี่เขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำงานหนัก ต้องแบกกล้องขึ้นลง 47 ชั้น เขาเหนื่อย เขาเป็นผู้หญิง แต่เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ปฏิเสธบทหนังเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้
มีประมาณ 5 เรื่องนะที่ปฏิเสธไป (คิดนาน) อาจจะเพราะบทด้วย ภาษาหนังมีอะไรที่อ่านยากเยอะ บางทีเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ อย่างตอน รักแห่งสยาม ก็ติดต่อมาให้เล่นบทจูน (แสดงโดย พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) แต่บีอ่านแล้วไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ ทำไมมันถึงหายไปวะ แล้วมีอะไรที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ตอนหลังรู้ว่าพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) เล่นด้วย ยิ่งงงว่าพี่เขารับเล่นได้ยังไง (หัวเราะ) แต่เป็นเพราะเราเองนี่แหละที่อ่านไม่เข้าใจเอง พอไม่เก็ตเลยคิดว่าไม่เสี่ยงดีกว่า
ปรับตัวอยู่นานไหมจากศาสตร์การแสดงละคร มาเป็นการแสดงภาพยนตร์ ได้ยินมาตลอดว่านี่คือสิ่งที่ยากที่สุดแล้วสำหรับคนที่เล่นละครมาตลอดชีวิต
ยากมาก มันเป็นคนละศาสตร์กันจริงๆ ละครต้องเล่นให้ชัด แต่หนังคือเล่นนิดเดียวจริงๆ ทุกอย่างมีความหมาย กะพริบตา เอียงตัว หายใจ ต้องปรับตัวเยอะมาก แค่ซีนแรกก็โดนไป 20 เทกแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งเวลาถ่ายละครบีจะโดนเทกน้อยมาก พอมาเจอแบบนี้เราเสียเซลฟ์เลยไปเลยนะ เฮ้ย นี่ฉันเป็นนักแสดงที่แย่มากๆ เลยเหรอ ทำไมต้องหลายเทกขนาดนี้ แล้วตอนนั้นยังไม่ดราม่ามากยัง 20 เทก แล้วตอนหลังที่ต้องร้องไห้ทั้งวันฉันต้องตายแน่ๆ มีอยู่วันหนึ่งร้องไห้เยอะมาก ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงตีสาม ร้องจนตาบวม ขับรถกลับบ้านเองไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นทาง (หัวเราะ) ต้องมีคนขับรถกลับไปให้ เรื่องนี้คือเรื่องที่ร้องไห้เยอะที่สุดแล้วในชีวิตการแสดง แล้วต้องร้องไห้จากข้างในจริงๆ ไม่ใช่แค่น้ำตาไหลแล้วผ่าน ต้องคิด ต้องรู้สึก ไม่อย่างนั้นพี่จิม (โสภณ ศักดาพิศิษฏ์-ผู้กำกับ) ไม่ให้ผ่านแน่ๆ
ความรัก..ที่เริ่มผ่อนคลาย
ในหนังคุณต้องรับบทเป็นแม่ที่รักลูกมากๆ แล้วในชีวิตจริงมีได้คิดเรื่องการมีลูกไว้บ้างหรือยัง
ไม่คิดเลย ถ้านับเฉพาะเรื่องลูกนะ ไม่เคยคิดภาพตัวเองเป็นแม่คนอยู่ในหัวเลย อย่าว่าแต่มีลูกเลย ขนาดภาพตัวเองแต่งงานยังไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) คืออยากใส่ชุดเจ้าสาวนะ แต่ว่าเราอยากใส่เพราะว่ามันสวย ไม่ได้อยากใส่ไปงานแต่งงาน ใส่เล่นละคร ถ่ายแบบอย่างนี้พอได้ แต่พอหลังๆ เริ่มได้ใส่เยอะๆ ก็เบื่อ ไม่อยากใส่แล้ว ถ้ามีงานไหนให้ใส่ชุดแต่งงาน ต่อให้เงินเยอะก็ไม่รับแล้ว (หัวเราะ)
แต่มันน่าจะเป็นความฝันของลูกผู้หญิงทุกคนอยู่แล้วหรือเปล่า การใส่ชุดเจ้าสาว แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก
เออ นั่นสิ แต่บียังไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้น จะพูดแบบนี้ดีไหม มันจะเหมือนตอบแบบดารามากเลยนะ (หัวเราะ) คือตอนนี้ บีอยากโฟกัสที่เรื่องงานจริงๆ คือบีเข้าใจนะเวลาได้ยินคนแซวคนที่ตอบแบบนี้ว่า โห ตอบแบบดาราๆ แต่เฮ้ย มันเป็นแบบนั้นจริงๆ สำหรับบางคนมันไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อตอบปัดให้ผ่าน แต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อย่างบีเองเมื่อก่อนเคยให้ความสำคัญกับความรักมากเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องอื่นวางไว้ทีหลังเลย แต่สัก 5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้เรื่องงานต้องมาก่อน สิ่งที่ต้องโฟกัสจริงๆ คือทำงานให้ดี บีเชื่อว่าถ้างานดีแล้วทุกอย่างจะดีตาม แล้วก็คิดว่าถ้ามีแฟน ต่อให้ทำงานหนักหรือเราโฟกัสงานมากกว่า ถ้าแฟนรักเราจริงๆ เขาต้องเข้าใจเราแหละ เพราะเราจะเข้าใจเหมือนกันถ้าเขายุ่งกับงานมากๆ จนไม่มีเวลาให้
คนอย่างบี น้ำทิพย์ อยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตได้ไหม
(คิดนาน) ไม่รู้เลย ไม่ได้คิดขนาดนั้น ถามว่าซีเรียสกับความรักไหมก็ซีเรียสนะ ถามว่าอยู่คนเดียวได้ไหม ถ้าต้องอยู่คนเดียวจริงๆ ก็คงอยู่ได้แหละ แต่ถ้าเลือกได้ การมีใครสักคนอยู่ด้วยมันดีกว่าอยู่แล้ว ส่วนตอนนี้โฟกัสเรื่องงานไปก่อน อ้าว ตอบแบบดาราอีกแล้ว (หัวเราะ)
Photo: ปรมภัทร ผูกทอง
- ตอนทีเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง บี น้ำทิพย์ อายุแค่ 13 ปี ตอนนั้นเธอยังไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวที่เกิดขึ้น ยังคิดแค่ว่าต้มยำกุ้งเป็นอาหารอย่างหนึ่งเท่านั้น
- บีเคยเข้าคลาสเรียนแอ็กติ้งครั้งแรกตอนเล่นละครเรื่องแรก และเพิ่งได้เข้าคลาสเรียนอีกครั้งก่อนเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้
- เพื่อน..ที่ระลึก เข้าฉายวันที่ 7 กันยายน ที่จะถึงนี้