นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของโรคโควิดในช่วงต้นปี 2563 ได้กลายเป็นดั่งแรงขับเคลื่อนที่เข้ามาหมุนวงล้อที่ทำให้คนไทยก้าวสู่การเป็น ‘พลเมืองดิจิทัล’ อย่างเต็มตัว ด้วยการปรับวิถีการดำเนินชีวิตเข้ากับโลกออนไลน์เป็นหนึ่งเดียวในตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

 

เรื่องนี้นั้นสะท้อนได้จากผลสำรวจของ Statista Research Department ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2565 พบว่าในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 คนไทยมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ยสูงถึง 5.28 ชั่วโมงต่อวัน และหากนับรวมทุกอุปกรณ์นั้นจะเฉลี่ยวันละถึง 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของชีวิตในแต่ละวัน 

 

โดยกลุ่มวัยเรียนและวัยทำงานเป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันมากที่สุด สืบเนื่องจากนโยบาย Work from Home ที่ทำให้ทุกคนต้องปรับพฤติกรรมมาใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งการติดต่อสื่อสาร การเรียน การทำงาน และไลฟ์สไตล์ประจำวัน

 

แต่ ‘เหรียญมักมีสองด้าน’ ในทางหนึ่งการเข้าสู่โลกดิจิทัลทำให้เราได้รับประสบการณ์ตลอดจนประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่อีกฟากหนึ่ง ‘ชีวิตดิจิทัล’ ก็ทำให้เราหลงลืมมองข้ามอะไรหลายๆ อย่างไป โดยเฉพาะความเห็นอกเห็นใจและความเคารพซึ่งกันและกันบนโลกออนไลน์ กลายคนไม่มีความสุขอย่างที่เคย การต้องเชื่อมต่อกับผู้คนตลอดเวลาอาจเป็นการบั่นทอนทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ

 

ตัวอย่างเช่น การโดนเจ้านายตามงานนอกเวลา ซึ่งบางครั้งเราเองก็เผลอติดนิสัยคุยงานนอกเวลาเองเหมือนกัน จึงทำให้เกิดความเครียด หวาดระแวง เหนื่อยล้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ อารมณ์ที่พรั่งพรู หัวร้อนเวลาแชต รวมถึงการส่งต่อ Fake News เกิดเป็นความเหนื่อยหน่าย ความเครียดวิตกที่ส่งผลให้ความสุขในชีวิตวิถีใหม่นี้หายไป

 

 

เมื่อตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ทางออกจึงต้องเป็นทางสายกลางที่พวกเราสามารถทำได้ด้วยการเห็นความสำคัญในการสร้างความสมดุลที่ดี (Well-being) ในการใช้ชีวิตออนไลน์ ซึ่ง ‘LINE ประเทศไทย’ ในฐานะแอปพลิเคชันโครงสร้างพื้นฐานที่มุ่งขับเคลื่อนทุกความเป็นไปได้ของชีวิตอย่างยั่งยืน เห็นความสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมบนโลกดิจิทัลให้น่าอยู่ เข้าใจความรู้สึกของชาวออนไลน์ จึงได้ทำแคมเปญ THE OFFLINE HOUR พร้อมแฮชแท็ก #คิดก่อนส่งลังเลก่อนLINE

 

 

สิ่งที่น่าสนใจคือแคมเปญประกอบไปด้วยกิจกรรม OFFLINE HOUR เชิญชวนเราทุกคนมาเพิ่มเวลาชีวิตออฟไลน์กันวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อตัวเองและคนใกล้ตัว ให้เป็นเวลาที่ทำให้รู้สึกว่าเราได้พัก เป็นอีกหนึ่งวิธีสำหรับการทำ Social Detox ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงในหลายๆ ที่ทั่วโลก

 

การหยุดพักจากโลกออนไลน์จะทำให้เราได้ออกมาใช้ชีวิตและเปิดโอกาสให้เราได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือที่ซื้อมาดองไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้หยิบมาปัดฝุ่น การปลูกต้นไม้ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต 

 

ตลอดจนการคุยกับคนในครอบครัวซึ่งที่ผ่านมาเราอาจห่างเหินไปบ้าง การเล่นกับสุนัขแสนรัก การทำอาหารที่จะกลายเป็นสกิลติดตัวเราในอนาคต หรือแม้แต่นั่งเงียบๆ กับตัวเองบ้าง จนเราอาจได้ค้นพบงานอดิเรกใหม่ๆ และค้นพบความสุขจากการได้อยู่กับสิ่งที่เราชอบทีละอย่างในช่วงเวลาที่มีคุณภาพ

 

ภายใต้แคมเปญดังกล่าวยังได้มีการทำภาพยนตร์โฆษณา ‘Push To Think Button’ เล่าเรื่องราวชวนฉุกคิดถึงความเห็นอกเห็นใจและความเคารพซึ่งกันและกันบนโลกดิจิทัลในหลากหลายแง่มุม ที่เรียกได้ว่าตีแผ่หยิบยกโมเมนต์ที่หลายคนมีอารมณ์ร่วมอยู่ ณ ตอนนี้ จนแทบอยากจะแท็กใครบางคน (เช่น เจ้านาย ฯลฯ) ให้มาดู

 

 

เหล่านี้ก็จะทำให้เราได้สุขภาพกายและใจที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้เราดำเนินชีวิตในยุคนี้ได้อย่างมีความสุข เป้าหมายของแคมเปญ THE OFFLINE HOUR ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของ LINE ประเทศไทย ที่ต้องการสร้าง Digital Well-being คุณภาพชีวิตออนไลน์ที่ดีในด้านต่างๆ ตั้งแต่การรักษาสมดุลให้ชีวิตยุคนี้ ไปจนถึงความเห็นอกเห็นใจ การเคารพซึ่งกันและกันบนโลกออนไลน์ ตอกย้ำการพัฒนาแพลตฟอร์มแบบ Humanized Technology ของ LINE ที่เข้าใจพฤติกรรมและความรู้สึกของผู้ใช้อย่างแท้จริง