ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมเพลงกลับมาเติบโตจนถึงจุดที่เรียกว่า Music Second Wave และสามารถสร้างรายได้แซงหน้ารายได้ในอดีต หรือเรียกง่ายๆ ว่าอุตสาหกรรมเพลงได้กลับมาสู่จุดรุ่งเรืองอีกครั้ง โดยเฉพาะในปี 2566 ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าตลาดเพลงไทยอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เริ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
โดยก่อนหน้านี้ ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ได้ประเมินถึงอุตสาหกรรมเพลงในเมืองไทยปีนี้มีโอกาสเติบโตขึ้นถึง 10% ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของตลาด Showbiz
จากความคึกคักของตลาดเพลงทำให้ 2 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง GMM Grammy และ RS สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ด้วยการจับมือกันจัดคอนเสิร์ต GRAMMY x RS เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนเพลงอย่างมาก
กระทั่งล่าสุดได้แยกธุรกิจเพลงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเริ่มตั้งแต่ RS ที่จับมือกับ Universal Music Group จัดตั้งกิจการร่วมค้า ร่วมบริหารลิขสิทธิ์เพลง พร้อมดัน RS Music เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2567
รวมถึงล่าสุด GMM Grammy ก็เตรียมดัน ‘จีเอ็มเอ็ม มิวสิค’ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าเป้าหมายใหญ่ของ 2 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ต่างต้องการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ ทั้งในด้านของเพลง ศิลปิน และคอนเสิร์ต เพื่อสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ
ถกล บรรจงรักษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แสดงความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมเพลงกลับมาบูมอีกครั้งหลังจากที่ซบเซาไปนาน แน่นอนว่าทำให้เห็นความเคลื่อนไหวของค่ายเพลงใหญ่
“ส่วนตัวมองว่าการที่ผู้เล่นทั้ง 2 ค่ายต้องการเข้าตลาดหุ้นก็เพราะต้องการต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ ควบคู่กับหาช่องทางสร้างรายได้ใหม่ในระยะยาว”
หากสังเกตจะเห็นว่าที่ผ่านมา GMM Grammy และ RS ต่างพากันไปเน้นตลาดทีวีดิจิทัล แต่เมื่อถึงคราวอิ่มตัวก็หันมาเน้นธุรกิจเพลงอีกครั้ง เพราะเห็นโอกาสใหม่ๆ ประกอบกับหลังโควิดผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติกันมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงเพลง อีเวนต์ หรือแม้กระทั่งคอนเสิร์ตนั้นมีมากขึ้น
ทั้งนี้ ในมุมของนักลงทุนมองว่าทั้ง 2 ค่ายเพลงเป็นบริษัทใหญ่ และอนาคตของธุรกิจเพลงเริ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้น เพราะผ่านพ้นช่วงที่แย่ที่สุดมาแล้ว แต่อีกด้านอย่าลืมว่าอุตสาหกรรมเพลง ซึ่งถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจบันเทิง ซึ่งมีความผันผวนและมีปัจจัยเสี่ยง เพราะยังอิงตามสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ต้องรอประเมินดูสถานการณ์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้าน ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MI GROUP แสดงความเห็นว่า การดันธุรกิจเพลงเข้าตลาดของ 2 ค่าย อาจไม่ได้มีนัยพิเศษกับแวดวงโฆษณา แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นว่าค่ายเพลงพยายามสร้างเม็ดเงินและเพิ่มขีดการแข่งขันในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจสำคัญของธุรกิจค่ายเพลงคือเรื่องของเพลง ซึ่งตอนนี้โลกเปิดกว้าง คอนเทนต์เพลงที่แต่ละค่ายผลิตขึ้นมาได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้กลุ่มคนฟังมีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งถ้าเพลงและศิลปินคนไหนมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันกับแบรนด์สินค้า นักการตลาดก็จะเลือกใช้เป็นเครื่องมือทำ Music Marketing ต่อไป
ทั้งนี้ THE STANDARD WEALTH พาส่องรายได้และเส้นทางการเติบโตของ GMM Grammy และ RS
ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
