หากเมื่อ 10 ปีก่อนมีคนบอกว่า ‘จิ้งจอกสยาม’ เลสเตอร์ ซิตี้ จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015/16 คงมีผู้คนหัวเราะเยาะใส่เป็นแน่ ด้วยอัตรา 5,000/1 ซึ่งน้อยกว่าทีมกลางตารางและท้ายตารางอื่นๆ เสียอีก แต่ทว่ายังไม่ทันจะจบครบ 38 นัดในลีกสูงสุดของเมืองผู้ดี เลสเตอร์ ซิตี้ ก็เถลิงแชมป์ระดับสูงสุดอย่างยิ่งใหญ่หักปากกาเซียนดังทุกสำนักอย่างสง่างาม ด้วยผลงานของนักเตะที่แจ้งเกิดอย่าง เจมี วาร์ดี กองหน้าตัวเก่ง รวมถึง ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ภายใต้การกุมบังเหียนของ เคลาดิโอ รานิเอรี ผู้จัดการทีมชาวอิตาลี
คีย์แมนคนสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นั้นคือ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท บริษัท คิง เพาเวอร์ ณ เวลานั้น ที่เข้ามาเป็นฟันเฟืองหลักในการสร้าง ‘ปาฏิหาริย์สู่ความเป็นไปได้’
อะไรคือปัจจัยความสำเร็จของ เลสเตอร์ ซิตี้? ภายใต้การบริหารของ วิชัย ศรีวัฒนประภา ที่พาทีมนอกสายตาอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นสู่บัลลังก์สูงสุดของลีกฟุตบอลอังกฤษ
วันนี้ THE STANDARD SPORT จะพาไปค้นหาคำตอบกัน
History และ Passion การเปลี่ยนผ่านสู่ ‘จิ้งจอกสยาม’
เลสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นทีมฟุตบอลที่มีคาแรกเตอร์ของนักสู้ที่เหมาะกับฉายาของทีมอย่าง ‘Foxes Never Quit’ หรือ ‘จิ้งจอกไม่เคยยอมแพ้’ ที่ทีมต้องต่อสู้เพื่อไต่เต้าและรักษาอันดับให้อยู่รอดในลีกระดับสูงสุดของอังกฤษมาโดยตลอด โดยแรกเริ่มเดิมทีทีม ‘เลสเตอร์ ฟอสส์ เอฟซี’ (ชื่อดั้งเดิมของเลสเตอร์ ซิตี้) เกิดขึ้นจากการฟอร์มทีมของบาทหลวงและนักเรียนในเมืองเลสเตอร์ ที่ต่อสู้แข่งขันจนทีมเริ่มเป็นที่รู้จักในเมือง แม้ในบางครั้งจะต้องระหกระเหินไปหลากหลายสนาม แต่ในที่สุดปี 1891 เลสเตอร์ได้ปักหลักที่ ‘ฟิลเบิร์ตสตรีท’ ซึ่งในเวลานั้นรู้จักกันในชื่อ ‘วอลนัทสตรีทกราวด์’
เมื่อลงหลักปักฐานได้แล้ว เลสเตอร์ ซิตี้ ก็กัดฟันต่อสู้มานานถึง 14 ปี เพื่อจะผลักตัวเองขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการตอบแทนแฟนบอลที่เพิ่มขึ้นกว่า 13,000 คนได้สำเร็จ แม้ในระหว่างนั้นจะเจอปัญหาสงครามและปัญหาทางการเงินจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ ในปี 1919 และย้ายมายังสนามใหม่ที่ชื่อ วอล์กเกอร์สเตเดียม (คิง เพาเวอร์ สเตเดียม ในเวลาต่อมา) ในปี 2002 เลสเตอร์ ซิตี้ ก็พบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อกลุ่มทุนชื่อ เอเชียนฟุตบอลอินเวสต์เมนท์ ซึ่งนำโดย วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของบริษัท คิง เพาเวอร์ จากประเทศไทย เข้ามารับหน้าที่ประธานสโมสรในปี 2010
วิชัย ศรีวัฒนประภา ชายผู้ไขกุญแจแห่งความสำเร็จ
เบื้องหลังความสำเร็จของการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์เอฟเอคัพในปี 2021 มาได้นั้น เกิดจากกลยุทธ์หรือกุญแจดอกสำคัญที่วิชัยนำมาใช้บริหารทีม คือ การลงทุนกับ ‘คน’ โดยใช้ต้นทุนที่เรียกว่า ‘ใจ’ แสดงความจริงใจนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในสโมสร ตั้งปณิธานอันแน่วแน่ที่จะพา เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมนอกสายตา ให้เป็นที่จับจ้องในสายตาคนทั้งโลก ด้วยความภาคภูมิใจในฐานะทีมของคนไทยทั้งประเทศ
และอีกคีย์แมนคนสำคัญของทีม คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก เจมี วาร์ดี ที่ดึงตัวมาจากทีมนอกลีก แต่กลับมีความไวและฝีเท้าเกินระดับ ซึ่งเขาก็แสดงออกในฤดูกาลที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการสร้างสถิติยิงติดต่อกัน 11 นัด จนกลายเป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ประสานด้วยนักเตะดั้งเดิมอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิล, เวส มอร์แกน และแดนนี่ ดริงก์วอเตอร์ ก่อนจะเสริมทัพด้วย ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นหัวใจหลักในการคว้าแชมป์ภายใต้การคุมทีมของโค้ชใหม่ของทีมในเวลานั้นอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี ผู้จัดการทีมชาวอิตาลีผู้มากประสบการณ์
เมื่อฟันเฟืองแห่งความสำเร็จถูกประกอบเข้าด้วยกัน ปาฏิหาริย์สู่ความเป็นไปได้จึงปรากฏออกมา คือการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยการคว้าแชมป์เดอะแชมเปียนชิป ที่มาพร้อมสถิติอันยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2013/14 แม้ปีแรกจะต้องหนีตายจากทีมท้ายตารางมาตลอด ถึงกระนั้น จิ้งจอกไม่เคยยอมแพ้ เก็บชัยชนะ 7 นัดจนสามารถจบที่อันดับ 14 ของตารางในฤดูกาล 2014/15 ได้อย่างสวยงาม
ทุกอย่างเป็นไปได้ เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2015/16 สร้างปาฏิหาริย์สู่ความเป็นไปได้ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 132 ปี เป็นการสร้างตำนานจิ้งจอกสยามที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจและสายตาของคนทั้งโลก โดยเฉพาะคนไทยทั้งประเทศ
มรดกอันยิ่งใหญ่ที่ส่งต่อจากพ่อสู่ลูก
มรดกอันยิ่งใหญ่ที่ส่งต่อมาถึง ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ด้วยคำมั่นว่าจะสืบต่อเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่ออย่างสุดกำลัง เป็นความท้าทายที่ ต๊อบ อัยยวัฒน์ ต้องพบเจอ แต่ก็ไม่เกินสามารถและความมุ่งมั่นที่มี โดยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องหลังจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2019/20 ซึ่งสโมสรจบอันดับที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก พา ‘จิ้งจอกสยาม’ เข้าแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก
และประวัติศาสตร์ได้ถูกจารึกขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร เป็นนัดที่ ‘จิ้งจอกสยาม’ พบกับ สิงห์บลูส์’ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2021 แม้ช่วงนั้นจะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 แฟนบอลของ ‘จิ้งจอกสยาม’ กว่า 6,000 คนก็พร้อมใจเข้าไปเชียร์จนคว้าแชมป์ ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปีนั้นสามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองทุกรายการในลีกฟุตบอลอังกฤษ ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และลีกคัพ (3 ครั้ง) สร้างความภาคภูมิใจให้กับแฟนจิ้งจอกสยามและคนไทยอีกครั้ง
ถึงแม้ฤดูกาลที่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้ จะประสบปัญหาจนต้องตกไปสู่ลีกรองอย่าง เดอะแชมเปียนชิป แต่เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา การพ่ายแพ้ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ยังการันตีการเป็นแชมป์เดอะแชมเปียนชิป และได้ก้าวกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ (พรีเมียร์ลีก) อย่างสวยงาม
หลังจากแข่งขันครบไป 46 นัดในฤดูกาล 2023/24 ในลีกรองอังกฤษ ฟุตบอลรายการเดอะแชมเปียนชิปในวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถทำแต้มถึง 97 แต้ม ยิง 89 ประตูในลีก จาก 46 นัดทั้งหมดที่ผ่านมา ครองตำแหน่งแชมป์พร้อมกับทะยานกลับขึ้นมาสู่สนามสูงสุดของวงการฟุตบอลลีกอังกฤษได้สำเร็จ สร้างปรากฏการณ์ The Power of Possibilities พลังแห่งความเป็นไปได้อีกครั้ง
ไม่เพียงแค่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้เท่านั้น อัยยวัฒน์ยังคงสานต่อสิ่งที่ผู้เป็นพ่อได้สร้างและสนับสนุนเมืองเลสเตอร์เสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ด้วยการสนับสนุนมูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา (อดีตคือ มูลนิธิฟ็อกซ์ ฟาวน์เดชัน ของเลสเตอร์) รวมถึงโรงพยาบาลและวิหารในเมือง จากความรักและความผูกพันที่ชาวเมืองเลสเตอร์มีต่อวิชัย จึงสร้างอนุสาวรีย์ วิชัย ศรีวัฒนประภา ที่บริเวณด้านหน้าสนามให้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘Possible Man’ ชายผู้สร้างปาฏิหาริย์ให้เป็นจริง