บาร์แห่งนี้ได้แรงบันดาลใจจาก The Waldorf Bar ซึ่งเป็น American Bar ของโรงแรม Waldorf Astoria ที่นิวยอร์ก ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งของตึกเอ็มไพร์สเตท ดังนั้นงานสถาปัตยกรรมแนว Art Deco และ Art Nouveau ของบาร์แห่งประวัติศาสตร์ที่ได้รับการกล่าวขานมาอย่างช้านาน จึงถูกขนให้มาอยู่ใน The Loft ชั้น 56 ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ย่านราชประสงค์แห่งนี้ด้วย
The Vibe
ทันทีที่ก้าวเข้ามาใน The Loft คุณจะต้องแปลกใจกับคอลเล็กชันงานคอลลาจจากข้าวของต่างๆ ที่อยู่ด้านขวามือของโถงทางเข้า และหากมองลึกเข้าไปข้างในจะเห็นเป็นห้องเล็กๆ แสนส่วนตัว เหมาะสำหรับชมวิวและแลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนรู้ใจ แต่ถ้ามองไปข้างหน้าจะพบกับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ดูขลังด้วยสีที่เขรอะกัง ละม้ายคล้ายโต๊ะทำงานของศิลปิน ในพื้นที่บริเวณนั้นหากมองไปทางซ้าย คุณจะพบกับวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยแสงสีและความเคลื่อนไหวของชีวิตคนกรุง
แต่หากหันมาทางขวาก็จะพบกับตัวบาร์ที่ถูกกั้นด้วยโพรซิเนียม ที่มีตู้กระจกไว้สำหรับหอยหลากชนิด และใบไม้ประหลาดต่างๆ ราวอยู่ในห้องสตูดิโอในสมัยยุค Edwardian ที่การสำรวจและค้นคว้าคือรากฐานแห่งความสร้างสรรค์ ภายในบาร์ใช้ศิลปะสไตล์ Art Nouveau ในการตกแต่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเส้นสายที่อ่อนช้อย แต่กระนั้นก็ยังมีการผสมผสานของเส้นสายที่เรียบง่ายและสมมาตรตามแบบฉบับของ Art Decor ที่ทำให้บรรยากาศไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป เหมาะกับการนั่งดื่มทอดอารมณ์เป็นที่สุด
The Drinks
บาร์เมเนเจอร์ของ The Loft
บาร์เมเนเจอร์ของ The Loft คือหนุ่มอิตาเลียน มิคเคลเล มอนตาอูติ (Michele Montauti) ซึ่งเขาได้นำ The Old Waldorf Bar Book ที่นักประวัติศาสตร์ อัลเบิร์ต สตีเฟนส์ คร็อกเกตต์ (Albert Stevens Crockett) เป็นผู้บันทึก เขาและทีมงานต่างศึกษาบันทึกนั้นอย่างถี่ถ้วน ก่อนพบว่า The Waldorf Bar เสิร์ฟค็อกเทลทุกสาย ไล่มาตั้งแต่สปิริตฟอร์เวิร์ด สวีตแอนด์ซาวร์ สแมชและฟิซซี่ ก่อนจะออกมาเป็นเมนูของทางร้าน โดยเริ่มจากดริงก์ที่เป็นสปิริตฟอร์เวิร์ดอย่าง Waldorf (450 บาท) ซึ่งรสออกขมนิดๆ สมุนไพรหน่อยๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของโหระพาที่เข้าไปผสมกับน้ำเชื่อมเมเปิ้ลและผักชี เหล้าที่ใช้เป็นเบสคือ เบอร์เบิร์น ก่อนเติมมิติด้วยช็อกโกแลตบิตเตอร์
Waldorf
ต่อมาเป็นดริงก์แบบสแมชบ้าง ลองเป็น Whisky Smash (520 บาท) ใช้วิสกี้ที่บ่มนานถึง 18 ปี ผสมกับทิงเจอร์เก๊กฮวยที่มีกลิ่นหอมละมุน เติมความเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาว โปะด้วยเชอร์เบตส้มแทงเจอรีน แต่งด้วยใบมินต์ ดื่มสบายเข้าถึงง่าย
Whisky Smash
ตามมาด้วย Waldorf Claret Cups (480 บาท) ที่มีเบสเป็นคอนยักและไวน์จากบอร์โดซ์ที่ถูกทำการรีดักชัน (Reduction) ตามด้วยดรายคาราซาว มาราสชิโน่ และน้ำมะนาว ผสมกันลงตัว ก่อนท็อปด้วยโซดา จบด้วยการตกแต่งด้วยผลไม้ทรอปิคัลอย่างองุ่นหมักปลายๆ แต่หวานใช้ได้ สายหวานน่าจะชอบ
Waldorf Claret Cups
และตัวสุดท้ายคือ Mamie Taylor (650 บาท) ซึ่งตัวนี้เป็นดริงก์ที่มีไข่ขาวผสมอยู่ อบอวลไปด้วยกลิ่นของขิงที่ได้จากจิงเจอร์เอลและผลลูกจันทน์เทศ ที่มาในฟอร์มของทั้งทิงเจอร์และขูดสด นอกจากนี้ยังมีเวอร์มูธที่อินฟิวส์ด้วยหญ้าฝรั่น และเหล้าที่ตัวหลักเป็นสกอตช์ ส่วนตัวที่ให้ความเปรี้ยวคือมะนาว นับเป็นดริงก์ที่เชกจนเกิดฟองสวยน่าดื่ม
Mamie Taylor
The Dishes
ต่อให้ที่นี่เป็นบาร์ค็อกเทล แต่ก็มีสแน็กไว้ช่วยพยุงไม่ให้แขกเหรื่อต้องหิวจนท้องกิ่ว ดังนั้นเมนูอาหารจึงเน้นของทานง่าย เช่น Charcuterie (1,350 บาท) ที่มีตับห่านบด ริลแล็ตต์เป็ด ซาลามี และเนื้อเค็มแล่บาง เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปัง หรือ Lobster Roll (1,250 บาท) ที่ตัวล็อบสเตอร์ถูกคลุกเคล้ามายองเนสและไข่กุ้ง เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดด้วยน้ำมันเป็ด ส่วนสายเนื้ออาจลองเป็น Beef Tartar (650 บาท) หรือ หอยนางรมสด ที่สามารถเลือกแหล่งที่มาและจำนวนได้ตามความเหมาะสม (840-2,200 บาท)
(ซ้าย) Beef Tartar (ขวา) Lobster Roll
The Loft
Open: ทุกวันเวลา 17.00-01.00 น.
Address: 151 ราชดำริ, ลุมพินี กรุงเทพฯ
Budget: 220-50,000 บาท
Contact: 0 2846 8888
Website: waldorfastoria3.hilton.com
Page: www.facebook.com/WaldorfAstoriaBangkok
Map:
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- นอกจากค็อกเทลแล้ว สปิริตก็มีหลายตัวให้เลือก เริ่มตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
- การรีดักชันมักพบในการทำอาหาร เพื่อทำของเหลวให้งวดขึ้น ส่วนใหญ่ใช้กับน้ำสมสายชู ซุป ซอส และไวน์ เพื่อให้ได้สารแต่งรสที่ใช้ในปริมาณน้อย แต่มีรสชาติเข้มเข้น