เราต้องฝันสักเท่าไร เก็บซ่อนความเร่าร้อนในใจ
มาเถิดเราข้ามมันไป มุ่งก้าวสู่ฤดูเริ่มใหม่
ที่ผ่านและพ้นเรื่องราวเข้าสู่วันที่สดใส
เราพร้อมก้าวไปด้วยกัน
นี่คือเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลง ฤดูใหม่ ซิงเกิลเดบิวต์ของสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวให้แฟนคลับได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2561 ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปแล้วร่วม 6 ปี แต่ก็ดูเหมือนว่าเพลงนี้จะยังเป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของพวกเธอได้อย่างชัดเจนเช่นเดิม เมื่อสมาชิกรุ่นที่ 2 ในปัจจุบันทั้ง 14 คนได้ประกาศจบการศึกษาพร้อมกันภายในงานมัตสึริ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เสมือนเป็นสัญญาณที่บอกว่า ตอนนี้พวกเธอพร้อมแล้วที่จะ ‘ก้าวสู่ฤดูใหม่ไปด้วยกัน’ อีกครั้ง
วันนี้ THE STANDARD POP มีโอกาสเปิดบ้านต้อนรับ 5 สาว BNK48 รุ่นที่ 2 นำโดย วี-วีรยา จาง, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา, มายยู-กวิสรา สิงห์ปลอด, นาย-ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์ และ สตางค์-ตริษา ปรีชาตั้งกิจ มาร่วมย้อนมองฤดูกาลต่างๆ ที่ผ่านมาของรุ่นที่ 2 ว่าความรู้สึกและมุมมองของพวกเธอในวันนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่บรรยากาศของวันเดบิวต์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังความสดใส การทำงานในคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่เสมือนเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของรุ่น มุมมองของพวกเธอที่มีต่อน้องๆ รุ่นใหม่ ไปจนถึงความพิเศษของคอนเสิร์ตส่งท้ายของรุ่นที่ 2 ในชื่อ BNK48 2nd Generation Concert Last Season ที่พวกเธอมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ทุกกระบวนการ โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 28 เมษายนนี้ ณ Centerpoint Studio
แต่ละคนในวันนี้ มองย้อนกลับไปในวันเดบิวต์ของรุ่นที่ 2 เมื่อปี 2561 ความรู้สึกในวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
สตางค์: สำหรับหนูตอนนั้นกดดันค่ะ เพราะเรายังเด็กอยู่เลย แล้วตอนนั้นรุ่นพี่เขาทำมาดีด้วย เลยทำให้เรารู้สึกกดดันในการที่จะทำต่อให้ดียิ่งขึ้น
มายยู: เหมือนแฟนๆ ของวง BNK48 เขาก็เฝ้ารอรุ่น 2 ด้วยค่ะ เพราะรุ่นแรกเขาประสบความสำเร็จจากเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย แล้วหลังจากนั้นก็ประกาศรับรุ่น 2 ต่อ เลย อาจจะมีคนที่ตั้งคำถามแล้วก็รอดูว่าเด็กกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาเติมเต็ม BNK48 จะเป็นอย่างไร เลยทำให้เราแอบกดดันกับการเพอร์ฟอร์มครั้งแรก
ฟ้อนด์: สำหรับหนูรู้สึกว่ามู้ดหรือฟีลตอนนั้นมันค่อนข้างสดใสมากๆ จำได้ว่าวันนั้นมันตื่นเต้น กดดัน แต่ตอนขึ้นไปเพอร์ฟอร์มพวกเรามีพลังเท่าไรใส่ให้สุด ซึ่งอาจจะต่างจากตอนนี้ ตอนนี้เราก็ทำสุดเหมือนกัน แต่คนละฟีล ตอนนั้นมีอะไรก็คือใส่หมด ความสดใหม่ พลังของเด็กวัยรุ่น ซึ่งมันเป็นฟีลลิ่งที่ให้อารมณ์ ณ ช่วงวัยนั้นเท่านั้น ถ้าหาจากตอนนี้ทุกคนก็น่าจะยากแล้ว เพราะเป็นวัยที่โตขึ้นแล้ว แต่ว่าสนุกค่ะ ย้อนกลับไปวันนั้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นสาวน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความสดใส
มายยู: เป็น ฤดูใหม่ ที่จะมารับช่วงต่อจากพี่ๆ จริงๆ เพลงนี้เลยมีความหมายกับพวกเรารุ่น 2 มากๆ
วี: สำหรับหนูตอนเข้ามาแรกๆ หนูจะรู้สึกกดดันจากรุ่นพี่มากกว่า ด้วยความที่หนูเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วด้วย หนูเลยไม่ค่อยรู้สึกกดดันจากแฟนคลับเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ครั้งแรกเท่าไร เพราะตอนนั้นเราค่อนข้างสดใหม่ เราอยากมาเต้น ทุกคนยิ้มแย้มสดใส วันนั้นเลยเป็นวันที่สนุก แล้วพอได้กลับไปดูคลิปเต้น คลิป Catchphrase ที่มันขึ้นมาช่วงหลังๆ ก็รู้สึกว่าแบบทำไมมันสดใสขนาดนี้ เลยรู้สึกว่าวันนั้นเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีมากๆ ที่เราจะเก็บไว้
แต่ละคนในช่วงเวลานั้นเป็นแบบไหน และตัวเราในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากวันนั้นอย่างไรบ้าง
วี: โห ตอนนั้นหนูคือไฟแรงเลย หนูอยากเข้ามาเพราะหนูอยากพัฒนาตัวเอง อยากมีความรับผิดชอบ อยากเป็นแบบพี่เฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล ชิไฮนินวง BNK48) หนูรู้จักคนแรกคือพี่เฌอ เพราะพี่เฌอบอกว่าอยากเปลี่ยนผังเมือง หนูอยากมีความคิดแบบพี่เฌอค่ะ ไปสัมภาษณ์ที่ไหนหนูพูดแบบนี้ตลอด
พอเข้ามาก็ได้รู้ว่าทำไม่ได้ ไม่มีใครเป็นแบบพี่เฌอได้แล้วจริงๆ ตอนแรกที่อยากเป็นแบบพี่เฌอ เพราะหนูอยากเรียนเก่ง แต่ด้วยความที่ว่าหนูไม่ได้เป็นเด็กเรียนด้วย สุดท้ายเราก็รู้ว่าไอดอลไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งก็ได้ แต่เรายังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครคนหนึ่งอยากพัฒนาตัวเองได้ ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม
หลังๆ มาเราเลยเป็นตัวของตัวเองมากกว่าตอนแรก ทำอะไรที่เป็นตัวเองจริงๆ เพราะถ้าเราไม่จริงใจกับความรู้สึกตัวเอง ถ้าเราเฟกขึ้นมา แล้วเราได้แฟนคลับที่เขาชอบเราในแบบที่เราสร้างขึ้นมา สุดท้ายมันจะอึดอัดที่เราเอง เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา เลยรู้สึกว่าทุกวันนี้เป็นตัวของตัวเอง ค่อนข้างที่จะปล่อยจอย ทำในสิ่งที่ชอบ ถ้าเขาชอบก็ชอบ ถ้าเขาไม่ชอบก็ไม่ชอบ
ฟ้อนด์: ถ้า ณ ตอนนั้นเราเข้ามาเพราะแค่รู้สึกว่าชอบร้อง ชอบเต้น ตั้งแต่เด็กๆ แล้วช่วงก่อนเข้า BNK48 ตอนนั้นเราอยู่หัวหิน เราก็เริ่มคิดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าเราอยากจะพาพ่อแม่ไปเที่ยว มีบ้านหลังใหญ่ๆ อยากตอบแทนเขาเร็วๆ แต่กว่าจะเรียนจบ พ่อแม่ก็น่าจะอายุเยอะมากๆ แล้ว เลยรู้สึกว่าเราต้องรีบเรียน รีบทำงานเก็บเงินตั้งแต่ตอนนี้
ตอนนั้นเลยส่งตัวเองไปแคสต์ตามที่ต่างๆ ประมาณ 1 ปีก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากโมเดลลิ่งเลย แต่เราก็ยังส่งไปเรื่อยๆ จนได้ไปแคสต์งานประมาณ 70 กว่าตัว ส่งไปแคสต์เองโดยที่ไม่บอกพ่อแม่ด้วย เพราะพ่อกับแม่ไม่อนุญาตให้ไปเพราะมันไกลมาก ต้องขาดเรียนด้วย เขาเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไร ทุกครั้งที่จะไปแคสต์ก็ต้องเสียน้ำตาทุกครั้ง เพราะร้องไห้บอกพ่อว่าหนูอยากไปจริงๆ หนูอุตส่าห์ส่งไปหลายรอบมากๆ หนูขอไปได้ไหม แล้วก็ต้องลงกรุงเทพฯ-หัวหิน 70 กว่าครั้ง จนมาได้เล่นละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จากนั้นเราก็มีงานมาเรื่อยๆ ประปรายบ้าง จนมาเห็นว่า BNK48 มีเปิดรับสมัคร ซึ่งเราชอบร้องและชอบเต้นอยู่แล้ว เลยลองสมัครดู แค่นั้นเลยไม่คิดอะไร จนสุดท้ายก็ติดเข้ามา
แต่ตอนนั้นก็ค่อนข้างต่างจากตอนนี้มากๆ ตอนนั้นเป็นฟ้อนด์ที่มีเอเนอร์จี้สุดๆ สดใสมากๆ จริงใจแบบเด็กๆ เป็นความสดใสที่หาไม่ได้จากตอนนี้แล้วจริงๆ แต่ก็มีช่วงที่หนูเสียศูนย์เหมือนกัน เพราะเราพยายามหาคาแรกเตอร์ให้ตัวเอง เหมือนเราไม่รู้ว่าเราคืออะไร ช่วงแรกๆ ก็เหมือนจะเป็นตัวเอง สักพักก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา เลยพยายามหาว่าเราเป็นคนยังไง คนชอบเราแบบนี้หรือเปล่า จนสุดท้ายเรามองกลับมาแล้วเราไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นเราขอกลับมาเป็นตัวเราที่สบายใจดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราพยายามหาคาแรกเตอร์แล้วมันไม่ใช่ เราจะอึดอัด
จากนั้นพอเราเริ่มโตขึ้น ผ่านอะไรมามากขึ้น เราก็เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น แล้วตอนนี้ก็เป็นฟ้อนด์ BNK48 อย่างสบายใจมากๆ แต่พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่ามันน่ารักในแบบของหนู ณ ตอนนั้นนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้ชอบตัวเองขนาดนั้น เราคิดว่าคนน่าจะชอบเราแบบนี้ เราเลยทำแบบนี้ แต่แม่ก็บอกว่ามันคือความน่ารักของหนูในวัยนั้นไง มองย้อนไปก็ไม่ได้เสียดาย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ
นาย: สำหรับหนูรู้สึกว่าผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝน ผ่านลม มาเยอะเหมือนกันค่ะ ทุกฤดูเลย เมื่อก่อนคุณแม่จะพยายามหาโมเดลลิ่งให้ไปแคสต์งาน ไปเป็นเอ็กซ์ตร้า เคยไปประกวดนางแบบตัวน้อยตัวจิ๋วรายการหนึ่งด้วย แต่ก็ไม่ผ่าน เลยเกิดความเสียใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ได้ อาจเพราะเราเป็นเด็กจากต่างจังหวัดเหรอ ทำไมเราถึงไม่ได้โอกาสเหมือนคนอื่นบ้าง เพราะเรารู้สึกว่าความสามารถเราก็ไม่ได้แพ้ใครเหมือนกัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะเข้ามาในวงการบันเทิง บวกกับแม่เป็นคนชอบขวนขวายหางานมาให้ด้วย
จนมาถึงช่วงเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย บูมมากๆ เราก็สงสัยว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร เด็กกลุ่มนี้เป็นใคร แต่แม่ก็หนูส่งไปโดยไม่ได้บอกว่าเป็น BNK48 พอถึงวันออดิชัน เดินเข้าไปในฮอลล์แล้วได้เห็นคนที่มาออดิชันเป็นร้อยเป็นพันคน ทุกคนมีความน่ารักเป็นของตัวเอง ตอนนั้นรู้สึกว่าเราคงไม่ตรงไทป์แล้วละ ด้วยความที่เราเป็นคนห้าวด้วย ผิวหน้าเข้ม แต่เราก็เชื่อว่าความสามารถของเราไม่แพ้ใครเหมือนกัน ซึ่งหลังผ่านเข้ามาเป็นรุ่น 2 หนูก็ได้มีโอกาสคุยกับทางผู้บริหาร เพราะอยากรู้ว่าเขาเลือกเราเพราะอะไร เพราะคาแรกเตอร์หลายๆ อย่างของเราดูไม่ตรงกับที่นี่เลย ซึ่งเขาก็บอกว่า ตอนหนูจับกีตาร์มันมีเสน่ห์มากๆ เลยนะ และยังสามารถต่อยอดต่อไปได้อีก
จนมาถึงช่วง ฤดูใหม่ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เสียใจมากๆ เพราะตอนประกาศเซ็มบัตสึเราไม่ติดทั้งเพลงหลักและเพลงรองเลย ซึ่งหนูไม่ได้ท้ออะไรขนาดนั้นนะ ถามว่าเรารักรุ่น 2 ไหม เรารักมากๆ แต่ถามว่าพอพูดถึงความผูกพันกับเพลง ฤดูใหม่ มันอาจจะไม่เห็นภาพเราในนั้นมากกว่า เวลาเห็นเพื่อนๆ ได้ออกไปเต้นก็ดีใจ แต่อีกมุมก็แอบเสียใจว่าทำไมเราถึงไม่ได้ พยายามหาเหตุผลเยอะมากว่าเพราะอะไร เราสู้คนอื่นไม่ได้เหรอ แต่พอเราเริ่มเข้าใจว่าระบบมันเป็นแบบนี้นะ มันมีพื้นที่จำกัด ก็เลยเริ่มทำใจได้ เริ่มฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นมาตลอด 6 ปี ได้รับโอกาสมากขึ้น รวมถึงได้มาเจอเพื่อนๆ รุ่น 2 ก็ทำให้เราแฮปปี้ขึ้น เราเลยรู้สึกใจหายที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอเพื่อนๆ แล้ว เพราะทุกคนต้องแยกย้ายไปเติบโต มันเลยมีโอกาสรวมตัวกันยากมากๆ แล้ว
สตางค์: หนูเป็นคนชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ เป็นสายประกวดร้องเพลงมาก่อน แต่แม้ว่าเราจะได้ถ้วยรางวัลมา สุดท้ายเป้าหมายของเราคือการได้เป็นศิลปิน เราเลยไปสมัครหลายค่ายมากๆ แล้วช่วงนั้น BNK48 กำลังมาพอดีด้วย จนพ่อบอกว่าถ้าไม่ได้ที่ BNK48 ก็กลับไปเรียนเถอะ ไม่ต้องเอาแล้วด้านนี้ เพราะมันอาจจะไม่ได้เหมาะกับเราหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราก็ผ่านเข้ามาได้ ตอนนั้นพูดตรงๆ หนูเองก็อาจไม่ใช่ไทป์ของวงเหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่สายไอดอลจ๋าด้วย ตัวหนูเองไม่ได้ติดตาม AKB48 มาก่อนด้วย แต่หลายคนก็บอกว่าหนูเข้ามาได้เพราะความสามารถ
พอมาถึงช่วง ฤดูใหม่ ความรู้สึกในวันนั้นกับวันนี้มันก็ต่างกันมากๆ เพราะวันแรกมันคือฤดูใหม่จริงๆ เราจำโมเมนต์ที่มีความสุขได้ จำความสดใสในตอนนั้นได้ เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ที่เราน่าจะไม่มีทางลืมมันได้ เป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่มีความหมายมากๆ แต่สำหรับวันนี้มันเป็นฤดูที่เปลี่ยนผันไปแล้ว เป็นฤดูใหม่เหมือนกัน แต่เป็นอีกฤดูหนึ่งที่เข้ามาแทน
มายยู: ส่วนหนูเองก็ชอบร้องและชอบเต้นมากๆ มาตั้งแต่เด็กๆ ช่วงอนุบาลถึงมัธยมต้นเราจะทำกิจกรรมของโรงเรียนทั้งหมดที่มีการร้องและการเต้น จากนั้นก็มีโอกาสได้ออดิชันค่ายเพลงเกาหลีใต้ค่ายหนึ่งตอนช่วงอายุ 17 ต้องเดินทางไปกลับไทย-เกาหลีอยู่ 2-3 ครั้ง จนเราผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่ตอนนั้นคุณแม่บอกว่าลึกๆ แล้วเขาไม่อยากให้เราไปเพราะมันไกล เหมือนเราก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่เสมอด้วย จากนั้นเขาก็ส่งใบสมัครของ BNK48 รุ่น 2 มาให้ แล้วเสนอว่า ถ้าเราติดเราจะได้เรียนหนังสือด้วยนะ ได้อยู่กับแม่ด้วยนะ แต่เราก็บอกแม่ว่าหนูไม่เคยศึกษาไอดอลญี่ปุ่นเลยนะ เพราะตอนนั้นหนูชอบการเพอร์ฟอร์มแบบไอดอลเกาหลีมากๆ เขาก็หว่านล้อมเราสุดๆ บอกเราว่าลองไปดูก่อน ไม่ติดไม่เป็นไร ถือว่าเอาประสบการณ์ เราก็เลยตัดสินใจไป
แล้วก็เหมือนพี่นายเลย จำได้ว่าคนสมัครรอบออนไลน์หมื่นกว่าคน แล้วผ่านเข้ารอบมาเหลือพันกว่าๆ พอไปถึงฮอลล์ปุ๊บ โห มีแต่ตัวตึง คนโน้นเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ คนนี้เป็นยูทูเบอร์ คนนั้นเป็นนักแสดงเด็ก จากที่เราเคยมั่นใจมากๆ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งกลับมาจากเกาหลีด้วย ก็เริ่มไม่คาดหวังว่าจะติด เพราะเราก็อาจจะไม่ใช่สไตล์ของวงด้วย แต่สุดท้ายก็ดีใจที่เราติดเข้ามา จำได้ว่าตอนนั้นผลของ BNK48 ประกาศก่อนทางเกาหลี แต่หนูตัดสินใจเซ็นกับ BNK48 ไปแล้ว ถามว่าตอนนั้นเสียใจไหม ไม่เสียใจ แต่เสียดายความฝันแรกของเรามากกว่า แต่แม่บอกกับหนูเสมอว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือสิ่งที่เราตัดสินใจไปแล้วดีเสมอ เพราะฉะนั้นทำให้เต็มที่กับเส้นทางอีก 6 ปีจากนี้ เก็บเกี่ยวมันให้เต็มที่
หลังจากนั้นหนูก็ติดเพลง ฤดูใหม่ อยู่ตำแหน่งเบอร์ 6 หรือแถวที่ 2 ซึ่งเราก็รู้สึกภูมิใจกับเพลงนี้นะ มองย้อนกลับไปมันเป็นเพลงที่โคตรสดใส มีพลังบวกสุดๆ มีความเป็นทีมเวิร์ก เป็นเพลงที่เป็นตัวแทนของรุ่น 2 จริงๆ แต่พอเวลาผ่านไปกลับมาฟังเพลงนี้อีกทีก็รู้สึกว่า ความหมายมันค่อนข้างลึกซึ้งเนอะ อยากตามรุ่นพี่ให้ทัน แต่มันก็มีเรื่องกำแพงของรุ่น 2 ด้วยที่อาจจะยังไม่ได้ถูกยอมรับขนาดนั้น ต่อให้เราเก่งขนาดไหน แต่เมื่อมาอยู่ในระบบนี้ ถ้ามันไม่ใช่ก็ไม่ใช่อยู่ดี เลยทำให้ความมั่นใจของเราในตอนแรก ความสดใส แพสชัน ความมุ่งมั่นของเรามันค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
เหมือนที่เพื่อนๆ บอกว่าช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเราหลายคนจะเกิดคำถามกับตัวเองเยอะมากๆ ว่าเราไม่เหมาะสมเหรอ เราไม่เก่งเท่าเพื่อนเหรอ ข้อผิดพลาดมันคืออะไร แต่สุดท้ายพอเราเรียนรู้กับความผิดหวัง เข้าใจข้อเท็จจริงของระบบนี้ ผ่านไปหลายๆ ปีเราจะค่อยๆ เข้าใจ และเริ่มเข้าสู่ช่วงการหาคาแรกเตอร์ว่าเราต้องทำแบบไหนคนถึงจะชอบเราเยอะขึ้น เกิดการสูญเสียตัวตนที่แท้จริงของเราไป เหมือนที่ฟ้อนด์เล่าว่ามันจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าสรุปแล้วเราเป็นคนยังไงกันแน่ แล้วสิ่งที่ตามมาหลังจากที่เราตั้งคำถามกับตัวเองเยอะๆ คือการป่วยทางใจ หนูก็เป็นหนึ่งคนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ค่อนข้างยาก แต่เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว
จนสุดท้ายผ่านมา 6 ปี ปัจจุบันนี้หนูรู้สึกว่าหนูโตขึ้นเยอะมากจากระบบนี้ จากโลกแห่งความเป็นจริง เป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่ทำให้เราเติบโต เราเจ็บมาเท่าไร แต่มันก็ทำให้เรามีวันนี้ได้จริงๆ เข้มแข็งได้ในทุกวันนี้เพราะเคยเจ็บมาเยอะจริงๆ
วี: พูดถึงเพลง ฤดูใหม่ หนูมีหลายช่วงในการฟังเพลงนี้ ช่วงแรกๆ ฟังแล้วรู้สึกสนุกมาก ฟังแล้วมีแรงฮึด พอผ่านไปประมาณ 3 ปี กลับมาฟังอีกครั้งก็รู้สึกว่าทำไมมันเศร้าจัง พอดูแล้วรู้สึกว่าความสดใสของเพื่อนๆ มันหายไป หนูรู้สึกว่ารุ่น 2 เป็นรุ่นที่มีความสามารถเยอะมากๆ แต่ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ได้เปล่งประกายเท่าไร จนทำให้เอเนอร์จี้หรือแพสชันของทุกคนดรอปลง ทุกคนดูหมองลงหมดเลย ตอนนั้นที่กลับมาดูมิวสิกวิดีโอหนูร้องไห้เลย ไม่ใช่เพราะมันใกล้จะจากลานะ แต่เพราะรอยยิ้มของทุกคนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เอเนอร์จี้ในการโชว์มันไม่เหมือนเดิมแล้ว รวมถึงตัวหนูเองด้วย
แล้วพอกลับมาดูอีกครั้งในช่วงสุดท้าย มันเป็นการร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่ว่า เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมากๆ เลยนะ เราเดินทางกันมาถึงวันนี้ได้คือเก่งกันมากจริงๆ ถึงจะมีเรื่องที่รู้สึกเศร้าอยู่บ้าง แต่ระหว่างทางมันก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นมากมาย
อีกหนึ่งพาร์ตสำคัญในช่วงแรกของรุ่นที่ 2 คือ การจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวในชื่อ BNK48 2nd Generation Concert ‘Blooming Season’ ในปี 2562 พอจะจำความรู้สึกในช่วงนั้นได้ไหม
วี: โห ตอนนั้นหนูยังเด็กอยู่เลย ภาพมันเลยค่อนข้างเลือนราง จำได้แค่ว่ามีเล่นกีตาร์
มายยู: ธีมหลักของคอนเสิร์ตเราคือ Blooming Season หรือฤดูที่เบ่งบานค่ะ แฟนๆ จะได้เห็นศักยภาพของเราทั้งด้านการเพอร์ฟอร์มและความสดใสของรุ่น 2
ฟ้อนด์: หนูรู้สึกว่ามันแอบเหมือนงานโรงเรียนที่มีโปรเจกต์งานกลุ่มแล้วเราทำไปด้วยกัน แต่เป็นโปรเจกต์งานกลุ่มที่สเกลใหญ่มากๆ
มายยู: จำได้เลยวันที่เราไปสตูดิโอสีน้ำตาล แล้วนั่งใช้ชีวิตด้วยกันทั้งวัน หลายวันเลยค่ะ อารมณ์เหมือนเข้าแคมป์เลย
ฟ้อนด์: จำได้ว่ามีช่วงเถียงๆ กันบ้างเหมือนกัน มีหลายอารมณ์มาก
มายยู: เหมือนพอเราตัดสินใจว่าพวกเราจะลงมือทำกันเอง ช่วงที่ระดมความคิดกันเราก็มีเห็นต่างกันบ้าง แต่เราจะมีเพื่อนเราที่เป็นเหมือน Show Director คอยตบๆ ไอเดียให้มันลงตัวขึ้น ใครมีศักยภาพด้านไหน ใครเล่นดนตรีได้ ก็ทำโชว์ขึ้นมา เป็นอีกหนึ่งศักยภาพของรุ่น 2 ที่ทุกคนจะได้เห็นว่าเราเล่นดนตรีได้ ส่วนพาร์ตละครเวทีจริงๆ ตอนแรกจะไม่มี แต่เหมือนผู้ใหญ่เขาอยากให้มีช่วง Storyline เพื่อเชื่อมโชว์ต่างๆ เราเลยเขียนบทขึ้นมา เพื่อให้โชว์มีความแปลกใหม่ขึ้น ไม่ได้มีแค่ MC หรือการแสดงแบบปกติ
สตางค์: ตอนนั้นเป็นครั้งแรกของหนูกับพี่นายด้วยที่ได้เล่นกีตาร์อะคูสติกด้วยกัน
ฟ้อนด์: เอาจริงๆ ตอนนั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าที่เราทำไปมันดีแค่ไหน แต่จำได้ว่าพอจบคอนเสิร์ตแล้วกระแสตอบรับจากแฟนคลับดีกว่าที่คิดมากๆ เลยรู้สึกว่าพวกเราก็ทำได้นะ
มายยู: เป็นความทรงจำที่ดีนะ ถึงแม้ว่าจะจำได้ไม่หมด แต่เห็นภาพแล้วมันก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาดีๆ
สตางค์: หลังจากจบคอนเสิร์ตหนูรู้สึกว่ามันทำให้เราได้ค้นพบตัวเองด้วยว่า แพสชันของเรา สิ่งที่เราชอบจริงๆ คืออะไร ซึ่งจุดเริ่มต้นมันก็คือการที่เราได้ทดลอง ได้ค้นหาจากการทำคอนเสิร์ตนี้
นาย: แล้วหนูว่าคอนเสิร์ตรุ่น 2 มันทำให้เราถูกยอมรับมากขึ้นด้วยว่าเราเข้าวงมาเพราะว่าอะไร
มายยู: ใช่ เป็นการพิสูจน์ก้าวใหญ่ของพวกเรารุ่น 2 เลยค่ะ อย่างโชว์ที่หนูชอบมากๆ เลยคือเพลง Mata Anata no Koto wo Kangaeteta เพราะว่าเป็นโชว์ที่พิสูจน์ว่าพวกเราร้องเพลงได้จริงๆ มันเหมือนเป็นการพิสูจน์ของรุ่น 2 ในหลายๆ อย่าง ทั้งเพอร์ฟอร์แมนซ์ ตัวตน และศักยภาพในด้านต่างๆ ซึ่งทำให้แฟนคลับหลายๆ คนเปิดใจ มองเห็นเสน่ห์และความสามารถของรุ่น 2 มากขึ้นจากคอนเสิร์ตนี้ เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้รุ่น 2 เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ภาพ: BNK48
ปัจจุบัน BNK48 เดินทางมาถึงรุ่น 5 แล้ว แต่ในระหว่างทางก็มีพี่ๆ รุ่น 1 รวมถึงเพื่อนๆ น้องๆ รุ่น 2 และรุ่น 3 หลายคนทยอยจบการศึกษาเช่นกัน การได้เห็นน้องๆ รุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามา และการได้บอกลาเพื่อนๆ ที่แยกย้ายกันไปเติบโต การผันเปลี่ยนของฤดูกาลเหล่านี้ส่งผลต่อความคิด ความรู้สึกของแต่ละคนอย่างไรบ้าง
ฟ้อนด์: ตอนที่พี่ๆ รุ่น 1 จบการศึกษา หนูรู้สึกเคว้งมาก ถ้าให้พูดตรงๆ คือตอนนั้นหนูมองภาพอนาคตหลังจากรุ่น 1 จบการศึกษาไม่ออกเลย หรือเราอาจจะจบการศึกษาก่อนหรือเปล่า ถึงแม้เราจะเหลือเวลาอีกหนึ่งปี เพราะหนูกลัวแรงกดดันมากๆ เราไม่มั่นใจเลย มันคิดเยอะมากๆ เลยค่ะตอนนั้น
วี: หนูจะคล้ายๆ กับฟ้อนด์ คือได้ทำงานกับรุ่น 1 เยอะมาก เป็นรุ่นพี่ที่สบายใจ ด้วยความที่หนูอยู่หอด้วย กลับมาไม่มีใครอยู่ก็ลงไปเล่นกับพี่ๆ รุ่น 1 ที่เขานั่งอยู่ข้างล่าง มันอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่ช่วงนั้นก็คิดเหมือนฟ้อนด์นะว่าถ้ารุ่น 1 ออกไปแล้วจะอยู่อย่างไรต่อ อย่างหนูเป็นคนขี้กลัวเวลาสัมภาษณ์ พอมีพี่รุ่น 1 อยู่ด้วยก็จะรู้สึกสบายใจ แต่พอเราเป็นรุ่นพี่แล้ว ถ้าน้องตอบไม่ได้เราก็ต้องคอยช่วย คอยดูแลน้องๆ แล้ว
ฟ้อนด์: อยากเป็นแบบพี่เฌอไง (หัวเราะ)
วี: (หัวเราะ) พี่เฌอยื่นไมค์ แต่ช่วงหลังๆ ที่ได้ทำงานในอีเวนต์ต่างๆ หรืองานมัตสึริที่ผ่านมา หนูก็เห็นแฟนคลับชมรุ่นน้องเยอะขึ้นนะ เราเลยรู้สึกดีใจที่เห็นว่าวงมันไปต่อได้จริงๆ ซึ่งเราก็อยากให้น้องๆ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
สำหรับรุ่น 1 หนูก็ยังคิดถึงเสมอ เหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจให้เวลาเราเศร้า เราก็ไปปรึกษาเขา เขาก็มีคำแนะนำที่ดีให้เรา สำหรับรุ่น 3 รุ่น 4 รุ่น 5 ก็รู้สึกว่าเป็นน้องที่น่ารัก คอยมาเติมเอเนอร์จี้ให้เราในช่วงที่เศร้า มาชวนไปเล่นนู่นนี่นั่น หลังๆ มาก็สนิทกับน้องๆ มากขึ้น เลยอยากเป็นกำลังใจให้น้องๆ ต่อ เห็นน้องซ้อม เห็นน้องตั้งใจ บ่นว่าเหนื่อยแต่น้องๆ ก็ยังนั่งทำ ถึงแม้เราจบการศึกษาออกไปก็อยากเป็นกำลังใจให้น้องๆ ต่อ
ในวันที่มีรุ่นน้องมาบอกว่าเราเป็นไอดอลของเขา เราเป็นแรงบันดาลใจของเขา รู้สึกอย่างไรบ้าง
มายยู: อันนี้ต้องถามพี่นายเลย เพราะพี่นายได้สัมภาษณ์แคนดิเดตรุ่น 5 ด้วย
นาย: ช่วงที่มีการออดิชันของรุ่น 5 ก็มีน้องเข้ามาบอกว่าหนูชอบพี่นายค่ะ เราก็งงว่าชอบพี่นายเพราะว่าอะไร น้องบอกชอบพี่นายปีนเสาค่ะ (หัวเราะ) ก็เข้าใจว่าชอบปีนเสา แต่ก็อยากให้ชอบอย่างอื่นบ้าง
มายยู: การเป็นผู้นำของเรา การจัดการงานอะไรอย่างนี้
นาย: ใช่ๆ ถูกๆ (หัวเราะ) ก็ดีใจที่น้องๆ เห็นตัวเองเป็นไอดอล แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกยังอยากทำงานในตำแหน่งกัปตัน Team NV ต่อคือตอนที่เราเห็นแววตาของน้องๆ มันทำให้เรานึกถึงแววตาของเราตอนออดิชัน มันเป็นแววตาที่ฉันอยากจะมาลงมือทำ เราเลยอยากให้น้องๆ รักษาแววตานี้ต่อไปเรื่อยๆ ในช่วงระยะเวลาของน้อง เราไม่อยากให้แววตานี้มันหายไป อยากให้น้องเข้าใจในระบบของวงจริงๆ ว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ มันเป็นสิ่งที่คุณต้องเตรียมใจและยอมรับมาตั้งแต่แรกว่าระบบมันจะเป็นแบบนี้ อย่างที่น้องฟ้อนด์บอกว่าเราเคยเสียศูนย์เพราะเราไม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง เราต้องเป็นคนแบบไหนที่คนชอบ
สตางค์: พอพี่นายพูดว่าเห็นแววตาของน้องๆ แล้วนึกถึงคำหนึ่งที่พี่รุ่น 1 เคยพูดค่ะ ตอนที่รุ่น 2 เข้ามาใหม่ๆ จะมีคำหนึ่งที่พี่รุ่น 1 พูดกับเราว่า ขอบคุณที่รุ่น 2 เข้ามานะ พอเห็นรุ่น 2 แล้วพี่รู้สึกมีแพสชันเลย จากวันนั้นที่พี่รู้สึกว่าหมดไฟแล้ว พี่เห็นเราทุกคนมีแพสชันมากๆ ก็ทำให้พี่มีแพสชันขึ้นมา แล้ววันนี้ที่เรามาเห็นน้อง คำนั้นมันย้อนกลับมาเลยว่าในวันที่เราไฟเริ่มไม่ค่อยมีหรือว่าลดลง เราก็ได้น้องๆ ที่คอยส่งพลังมาให้เราจริงๆ
ในมุมของรุ่น 3 ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่คนโตของวงต่อจากเรา แต่ละคนมองเห็นการเติบโตของน้องๆ รุ่น 3 อย่างไรบ้าง
มายยู: ในมุมของหนูน้องรุ่น 3 พร้อมมากๆ ที่จะขึ้นมาเป็นพี่คนโต เพราะในช่วงแรกที่น้องเข้ามาเขาจะถูกเทรนในเธียเตอร์มา 1 ปี ตอนนั้นพวกเรากับรุ่น 1 กำลังลุยงานข้างนอกอยู่ แล้วน้องๆ ก็เทรนในเธียเตอร์อยู่ 1 ปีเต็ม พอน้องจบจากเธียเตอร์มา ทุกคนพร้อมสุดๆ เป็นกำลังสำคัญของวงเลย
วี: หนูเคยมีโอกาสได้ยินจากครูสอนเต้นว่าแต่ละคนก็ซ้อมกันมาเองก่อนจะมาซ้อมรวมกัน พอมาถึงปุ๊บ 5 นาทีเสร็จ เราก็ ห๊ะ! ทำกันได้ไง มาเข้าบล็อกปุ๊บ เต้นๆ เปิดเพลงไม่เกิน 3 รอบเสร็จ ทั้งๆ ที่แยกกันซ้อมมา แล้วหนูเคยเข้าไปดูน้องซ้อมช่วงแรกๆ คือซ้อมถึง 5 ทุ่ม จำได้เลยน้องพีค (พีค-ภูษิตา วัฒนากรแก้ว สมาชิกรุ่นที่ 3) บอกพี่วีสอนหนูเต้นหน่อยหนูเต้นไม่เป็น แล้วน้องก็เต้นไม่เป็นจริงๆ หนูไม่ได้เต้นเก่งขนาดนั้นนะแต่เราก็สอนน้องไป พอทุกวันนี้เห็นน้องลงเต้นในไอจีคือเต้นเก่งมาก
มายยู: ทุกคนพร้อมหมดแล้วค่ะ คือเราไม่เห็นช่องโหว่เลย ก่อนหน้านี้หนูเคยคุยกับพี่เฌอเหมือนกันว่าตอนนี้พวกหนูทุกคนไม่ห่วงเลยสำหรับ BNK48 New Era เราเห็นภาพแล้วว่าอนาคตของวงจะเป็นยังไงในวันที่พวกเราไม่อยู่แล้ว เคยคุยกับวีด้วยว่าพอเราเห็นน้องๆ เพอร์ฟอร์ม เรารู้แล้วว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพราะในโรงเรียนนี้มีน้องๆ ที่เขาพร้อมมากๆ แล้วที่จะขึ้นมาเป็นเสาหลักต่อไป หนูภูมิใจในตัวน้องๆ มากในทุกด้านเลย เหมือนที่วีบอกว่าบางคนเริ่มจากเต้นไม่เป็นเลย จนวันนี้เต้นเก่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ ทุกคนยังมีไฟ มีแพสชันที่จะทำตรงนี้ต่อ โดยเฉพาะน้องฮูพ (ฮูพ-ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย สมาชิกรุ่นที่ 3, กัปตัน Team BIII และกัปตันวง BNK48 คนปัจจุบัน) หลังๆ มาหนูได้คุยกับฮูพหลายครั้ง เลยทำให้หนูเคารพน้องมากๆ สำหรับหนูรู้สึกว่าไม่มีอะไรค้างคาเลย มั่นใจว่า BNK48 New Era จะเติบโตไปอย่างแข็งแรงแน่นอน
นาย: จากที่เราได้ทำงานด้วยกัน ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน หนูรู้สึกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเลยเพราะว่าน้องๆ รุ่น 3 รุ่น 4 รุ่น 5 เขาพร้อมที่จะมารับช่วงต่อจากเราจริงๆ อย่างที่บอกมันเห็นแววตาของน้องๆ หลายๆ คนว่าเขาอยากจะเข้ามาอยู่ตรงนี้จริงๆ น้องๆ มีไฟที่อยากจะทำให้วงไปได้ไกลมากกว่านี้ ไม่ได้อยากหยุดแค่คำว่า คุกกี้เสี่ยงทาย สำหรับตัวหนูเองเด็กรุ่น 3 รุ่น 4 รุ่น 5 พวกเขาทำให้สังคมข้างนอกยอมรับพวกเขามากขึ้น ทั้งโซเชียลมีเดียต่างๆ น้องทำให้คนข้างนอกที่เขาอาจจะไม่ได้ตาม BNK48 มาก่อนหันมาสนใจวงมากขึ้น แล้วที่หนูอยากพูดถึงอีกคนหนึ่งคือน้องฮูพ เพราะว่าน้องฮูพเป็นคนที่มีแผนกับชีวิตชัดเจนมากๆ กับการที่จะรับช่วงต่อในการเป็นรุ่นพี่ รวมถึงน้องๆ รุ่น 3 ด้วย รู้สึกว่าน้องๆ เต็มที่กับการที่จะเป็น New Era จริงๆ น้องๆ เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมากๆ เต็มที่มากๆ เพื่อให้ BNK48 ไปได้มากกว่านี้ แล้วน้องๆ เป็นคนที่พูดอะไรแล้วก็อยากทำให้ได้จริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เชื่อว่าน้องๆ รุ่นใหม่ๆ จะพา BNK48 ไปได้ไกลกว่านี้แน่นอนค่ะ
ภาพ: BNK48
มาถึงวันที่รุ่น 2 ในปัจจุบันทั้ง 14 คนประกาศจบการศึกษาพร้อมกันในงานมัตสึริที่ผ่านมา ทำไมเราถึงตกลงกันว่าจะประกาศพร้อมกัน
มายยู: ในช่วง 6 เดือนให้หลังมาพวกเราก็ถามๆ กันมาตลอดว่าจะยังไงต่อ จนมั่นใจแล้วว่าพวกเราทุกคนน่าจะพร้อมที่จะออกไปเติบโตข้างนอกแล้ว ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง (หัวเราะ) ที่เขากำลังตกตะกอน ชั่งน้ำหนักว่ายังมีตำแหน่งกัปตัน Team ที่เขาอยากลองทำให้เต็มที่ที่สุดก่อน ยังมีน้องๆ ที่ยังรอทำเธียเตอร์ด้วยกันกับเขาอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็คงอยากออกไปเติบโตเหมือนกันพร้อมกับเพื่อนๆ
นาย: ที่เขาบอกว่าคิดจนวินาทีสุดท้ายของหนูคือของจริง เพราะปัจจัยหนึ่งคือหนูอยากเต็มที่กับ Team NV ก่อน เพราะช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ไม่มีเธียเตอร์ เลยทำให้คนไม่ได้เห็นผลงานทางด้านนั้นเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราได้ตำแหน่งกัปตันมาเพราะอะไร นอกจากคำการันตีจากพี่ๆ รุ่น 1 ว่าเขาเห็นอะไรในตัวเรา เขาถึงให้เรามารับช่วงต่อ แล้วพูดตรงๆ ว่าหนูฟื้นตัวเองขึ้นมาได้เพราะ Team NV จริงๆ แล้ว Team NV ทำให้คนเห็นตัวตนของหนู แล้วมันก็เป็นสถานที่ที่พัฒนาพวกเราเอง เหมือนกับที่รุ่น 3 พัฒนาตัวเองมาจนพร้อมทำงาน หนูรัก NV มากก็เลยคิดจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
ตอนนั้นมันลังเลจริงๆ ค่ะ เพราะอีกมุมเราเองก็ไม่ได้อยากจะย่ำอยู่กับที่ เราเองก็อยากออกไปเจอโลกความจริงบ้าง ได้ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็อยากประกาศจบการศึกษาพร้อมกับเพื่อนด้วย
มายยู: สำหรับหนูตั้งแต่นายได้เป็นกัปตัน Team NV เขาจะมีความผูกพันกับน้องๆ รุ่น 3 มากขึ้น ในวันที่รุ่น 2 เป็นพี่โตแล้วนายได้เข้ามาทำตำแหน่งตรงนี้ หนูเห็นว่าเขาเต็มที่และตั้งใจมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน การตัดสินใจของนายเลยเหมือนเป็นเฮือกสุดท้ายจริงๆ อย่างที่เขาพูดบ่อยๆ ว่าจริงๆ ลึกๆ แล้วเขาเห็นแววตาน้องๆ เขาอยากอยู่ด้วยต่อนะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องมีเส้นทางต่อไปที่รอให้เราไปเติบโตอยู่ ซึ่งหนูเคารพนายมากๆ
หลังจากนี้รุ่น 2 จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ส่งท้ายในวันที่ 28 เมษายนนี้ ความพิเศษของคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่ไม่อยากให้แฟนคลับพลาดมีอะไรบ้าง
มายยู: คอนเสิร์ตเราชื่อ Last Season ค่ะ เป็นการพัฒนามาจาก Blooming Season สู่ Last Season หรือฤดูสุดท้ายของพวกเรา
นาย: ถ้าถามว่าทำไมถึงห้ามพลาดเหมือน Blooming Season เพราะมันเป็นครั้งสุดท้ายของรุ่น 2 จริงๆ ที่ไม่มีโอกาสจะได้ทำแบบนี้แล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ในคอนเสิร์ตของพวกเราไม่ได้อยากเน้นเกี่ยวกับความเศร้าหรือเสียใจเลย เราอยากเน้นให้มันเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาว่าเราสามารถทำได้ถึงขนาดไหน ให้ทุกคนเห็นในมุมมองที่คิดว่าคนอื่นไม่เคยเห็น
มายยู: เอาจริงๆ เรื่องคอนเซปต์ของ Last Season ต้องพูดว่ารุ่น 2 มีส่วนในฝั่ง Creative ทุกด้านเลย โดยคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของพวกเราจะมีพี่แพนด้า (แพนด้า-จิดาภา แช่มช้อย สมาชิกรุ่นที่ 2) เป็นโปรดิวเซอร์ค่ะ เขาจะเป็น Head หลักของงาน แล้วก็จะมีทีมย่อยเป็นพี่นายที่เป็นหัวหน้าห้อง คือพี่นายจะเป็นเหมือนหัวหน้าห้องของรุ่น 2 ในตอนนี้ เขาจะเป็นคนที่รับสารจากพี่เฌอมาแชร์เพื่อนๆ แล้วรับสารจากเพื่อนๆ ไปส่งต่อให้ผู้ใหญ่ แล้วก็จะมีนิกี้ (นิกี้-วรินท์รัตน์ ยลประสงค์ สมาชิกรุ่นที่ 2) เป็นเลขาฯ แล้วพวกเราที่เหลือก็ช่วยกัน ซึ่งคอนเซปต์ของ Last Season จะเล่าถึงฤดูที่ผันเปลี่ยนของรุ่น 2 ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็น BNK48 จนถึงวันสุดท้ายที่เราจะออกไปเติบโตและเบ่งบานข้างนอกค่ะ นี่คือคอนเซปต์คร่าวๆ
สตางค์: หนูว่า Last Season มันเป็นพื้นที่ที่เราจะได้ลงมือทำบางอย่างที่เรายังค้างคา สิ่งที่เรายังไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น ในครั้งนี้เหมือนเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำให้พวกเราได้มีพื้นที่ในการสานฝันของพวกเราในบางจุดที่ยังไม่สำเร็จด้วย
มายยู: เพราะรุ่น 2 เราคิดกันเองหมดเลยตั้งแต่ทำมู้ดบอร์ด คอสตูม ทำ Songlist ด้วยกัน จำได้ว่าวันประชุมใหญ่ รุ่น 2 ทุกคนนั่งอยู่ในห้องกินข้าวที่หอ ผู้ใหญ่ให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ใหญ่เท่าโต๊ะนี้เลย แล้วก็มาเริ่มกัน เริ่มยังไงดี เขียนเพลงลิสต์มา เหมือนที่ฟ้อนด์บอกว่าเรากลับมาทำงานโรงเรียนอีกครั้ง เป็นงานโรงเรียนครั้งสุดท้ายที่ใหญ่มากๆ
นาย: คือเราคิดกันตั้งแต่กระบวนการที่ว่าเราอยากได้สถานที่ไหน กี่พันที่นั่ง Benefit ที่แฟนคลับจะได้เขาต้องได้อะไรกลับไปบ้าง
ฟ้อนด์: เอาจริงๆ คอนเสิร์ตครั้งนี้เราไม่รู้หรอกว่าทุกคนจะประทับใจมากน้อยแค่ไหน มันจะดีเท่า Blooming Season ไหม เราไม่สามารถรับประกันได้เลย แต่มันก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
ลองจินตนาการกันเล่นๆ ดูว่าสมมติเมื่อถึงวันคอนเสิร์ตจริงๆ ความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นของแต่ละคนในวันนั้นจะเป็นยังไง
ฟ้อนด์: หนูรู้สึกว่าคงเป็นความรู้สึกใจหาย นี่คือวันสุดท้ายของการที่เราตัดสินใจเข้ามาอยู่ใน BNK48 แล้วจริงๆ เหรอ เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่เราไม่คิดด้วยซ้ำว่าเราจะอยู่จนครบสัญญา 6 ปีด้วยหรือเปล่า จนสุดท้ายนี่คือวันสุดท้ายจริงๆ เหรอ นี่คือภาพสุดท้ายของวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ BNK48 มันมาถึงแล้วเหรอ หนูว่ามันคือภาพนี้
6 ปีเอาจริงมันนานมากนะ มันเกือบ 10 ปีด้วยซ้ำที่เราอยู่กับบุคคลกลุ่มนี้ แล้วสักวันหนึ่งเราจะต้องออกไปเติบโตแล้วจริงๆ เหรอ ใช่มันคงยังคุยกันได้นู่นนี่ แต่เหมือนที่พี่นายบอกว่าการที่เราจะมารวมตัวกันมันยากมากๆ นอกจากจะมีอีเวนต์ใหญ่ที่ทุกคนต้องมาด้วยกัน แล้วจะเรียกรวมตัวกันหรือนัดเจอกันมันคงยากมากๆ เพราะแต่ละคนอาจจะไปเติบโต บางคนอาจจะไปต่างประเทศ อาจจะไปใช้ชีวิตนู่นนี่นั่น มันเจอกันยากแล้ว วันนั้นมันคงเป็นความรู้สึกใจหาย
มายยู: สำหรับหนู น่าจะเหมือนที่วีพูดว่ามันมองเพื่อนๆ แล้วรู้สึกว่าเราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะจริงๆ มันมาถึงวันนี้แล้วจริงๆ อยากมองหน้าทุกคนแล้วก็พูดว่าเก่งมาก แล้วเวลามองหน้าแฟนคลับ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แฟนคลับเราทั้งหมดหรอก เป็นแฟนคลับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ซัพพอร์ตเราในฐานะ BNK48 มาตลอด 6 ปี เลยรู้สึกว่าถ้าออกไปแล้วเราจะยังได้เห็นภาพอะไรแบบนี้อีกไหมนะ เราจะได้เจอกลุ่มคนที่เขาซัพพอร์ตเราแบบไร้ซึ่งข้อแม้ขนาดนี้ได้อีกไหมนะ
วี: หนูมีความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนก่อนจะประกาศจบการศึกษา ตอนนั้นหนูคิดนะว่าหรือเราจะไม่จบการศึกษาดี ลึกๆ ถึงแม้ว่าเราอยากจะออกไปเติบโตมากแค่ไหน แต่ตอนงานมัตสึริคือแฟนคลับมากันเยอะมาก เลยทำให้รู้สึกว่าออกไปแล้วมันคงไม่มีทางที่เราจะมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ ถึงแม้เขาอาจจะไม่ใช่แฟนคลับเราทั้งหมด แต่เขาก็เป็นแฟนคลับที่ซัพพอร์ตวงเรา มันเลยทำให้รู้สึกใจหาย แล้วมันมีจุดหนึ่งที่ไม่ค่อยกล้าที่จะประกาศจบการศึกษา รู้สึกว่าอย่างน้อยเราอยู่ตรงนี้เราก็ยังมีคนกลุ่มนี้อยู่ เลยรู้สึกใจหาย
มายยู: มันคือคอมฟอร์ตโซนจริงๆ แหละ เราไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากที่เราออกจากรั้วโรงเรียนนี้ไปแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง เราจะยังมีตัวตนในวงการบันเทิงหรือสิ่งที่เคยเป็นมาตลอดอยู่ไหม คนจะยังจดจำเราในแบบไหนอีกบ้าง
วี: แต่สุดท้ายชีวิตมันต้องเดินต่อ
มายยู: ใช่
สตางค์: มันเป็นเหมือนเซฟโซนของเราจริงๆ ที่อยู่ตรงนี้ เหมือนถ้าเราทำผิดทำถูกมันเหมือนล้มบนฟูกค่ะ แต่ถ้าออกไปปุ๊บมันล้มลงพื้นจริงๆ เลย
ฟ้อนด์: แต่วันที่ประกาศจบการศึกษาเห็นแฟนคลับร้องไห้ก็แอบช็อกเหมือนกัน เพราะหลายคนก็เป็นผู้ชายด้วย เราเลยไม่คิดว่าจะเห็นภาพนี้ แล้วอีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกว่าเขาทำให้เรารู้สึกมีค่ามากๆ เลย เพราะเราเป็นบุคคลหนึ่งที่โคตรมีค่าบนโลกต่ออีกหลายๆ คน เขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต วันนั้นเลยทำให้เรารู้สึกมีค่ามากๆ แล้วการเห็นทุกคนร้องไห้เพื่อเรามันก็มีพลังบวกอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้เราพูดคุยถึงน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของ BNK48 ในอนาคตกันไปแล้ว คราวนี้เราอยากลองชวนทุกคนมาพูดคุยถึงอนาคตของแต่ละคนกันบ้างว่าแต่ละคนอยากเห็นตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นแบบไหน
มายยู: จริงๆ มันคือเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตหนูเลย คือหนูจะเป็นคนที่รวยจากผลงานที่หนูทำ ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม ทุกผลงาน ทุกอย่างที่หนูจะสามารถกรีดเลือดทำได้ มันจะต้องส่งผลให้หนูเป็นคนที่รวยและสามารถดูแลครอบครัวหนูได้ ให้เขาอยู่อย่างมีความสุข แล้วหนูอยากพาเขาไปเที่ยวหลายๆ ที่เลย เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาตอนเป็น BNK48 หนูได้ใช้เวลากับครอบครัวน้อยมากๆ จริงๆ เพราะทั้งเรียนและทำงานด้วย หลังจากจบตรงนี้ไปหนูอยากที่จะทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จที่สุด ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม และหนูจะเป็นคนรวยที่กลับมาดูแลครอบครัวของหนูให้มีความสุข
วี: หนูขอแบ่งพาร์ตเป็นด้านตัวเองกับด้านครอบครัวแล้วกันค่ะ ในด้านตัวเองหนูเป็นคนที่ไม่รู้ว่าถึงขั้น Self-Esteem ต่ำไหม แต่ว่าหนูไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่รู้ภาพที่ออกมามันเป็นยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองสวย ตัวเองเท่ ตัวเองน่ารัก ตัวเองเป็นแบบไหนกันแน่ แต่หนูก็ทำไปเรื่อยๆ หนูเลยรู้สึกว่าวัย 30 ต้องเป็นวัยที่หนูรู้แล้วว่าตัวเองเป็นยังไง มั่นใจได้แล้วว่าแบบนี้คือเราโดยที่ไม่ต้องไปสนใจกับคำพูดคนอื่น หนูว่าหนูพัฒนาขึ้นมาเยอะนะในการช่างแม่งกับคำพูดของคนอื่น แต่มันก็ยังไม่ได้คงที่สักที รู้สึกว่าในวัย 30 หนูต้องมั่นใจ ต้องเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้แบบไม่ต้องฟังเสียงคนอื่นแล้ว
ถ้าเป็นด้านครอบครัวหนูอยากรวย รวยมากๆ ในขั้นที่แบบพ่ออยากทำอะไร หนูให้เงินพ่อไปทำได้เลย แต่หนูก็ยังไม่รู้ว่าหนูจะทำยังไงนะ หนูยังไม่รู้ว่าในอนาคตหนูต้องทำอะไรถึงเป็นแบบนั้นได้ ด้วยความที่พ่อหนูเขาเป็นคนดื้อมาก เขาไม่ชอบอยู่เฉยๆ เขาไม่อยากให้ลูกมาเลี้ยงเขา แล้วเขาก็พลาดมาเยอะมาก มีบางเดือนที่หนูก็ต้องช่วยเขาถึงหนูจะช่วยไม่ได้เยอะ อย่างล่าสุดที่พ่อหนูมีปัญหาตอนนั้นมันทำให้หนูคิดว่าแบบนี่ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย
ดังนั้นในวัย 30 หนูอยากจะสามารถให้เงินเดือนพ่อแม่ได้แล้ว อยากเลี้ยงครอบครัวได้เหมือนพี่มายยูเลย หนูอยากพาที่บ้านไปเที่ยวยุโรป อยากพาไปเที่ยวทะเล หนูนับได้เลยว่าวันที่ครอบครัวหนูไปเที่ยวด้วยกันแบบครบๆ คือประถมปลาย หลังจากนั้นครอบครัวหนูก็แยกย้ายกันไปอยู่กันคนละทิศคนละทาง หนูไม่ได้เจอครอบครัวมานานมากๆ แล้ว อยากมีบ้าน อยากมีรถ ไม่ต้องมาคิดเรื่องใช้เงิน ซึ่งหนูเข้าใจว่ามันน่าจะค่อนข้างยากมากๆ แต่ถ้าทำได้มันก็คงจะเป็นภาพที่รู้สึกดีมากๆ
อีกอย่างหนึ่งที่อยากทำ หนูขออีก 20 ปีละกันคือหนูอยากมีสวนผัก เพราะหนูเป็นคนชอบกินผัก แล้วพี่ชายหนูเขาอยากทำสวนเหมือนกัน พ่อก็ชอบปลูกผัก แล้วแม่ก็ทำอาหารเก่ง หนูเลยอยากมีสวนของตัวเอง ไม่ต้องใหญ่มาก มีร้านอาหารเล็กๆ หนูรู้สึกว่ามันเป็นธุรกิจที่เราทำด้วยกันในครอบครัว ในช่วงที่หนูสัก 40 แล้ว หรือก่อน 40 ก็ได้ หนูรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นงานที่ทำไปแล้วมีความสุข เพราะเป็นงานที่ทำกับครอบครัวด้วย
ฟ้อนด์: ในอีก 10 ปีข้างหน้า หนูยังอยากทำงานในวงการบันเทิงอยู่ อยากเป็นฟ้อนด์ที่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง อยากให้แมสมากๆ จนเป็นที่รู้จักในด้านที่ดี แล้วก็สามารถเป็นไอดอลของใครหลายๆ คนได้ แล้วก็อยากเป็นนักธุรกิจสาวด้วย อยากซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ จนพ่อกับแม่ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว พาพ่อแม่ พาอาอี๊มาอยู่บ้านหลังเดียวกัน เวลาเรากลับบ้านมาก็เห็นเขานั่งเมาท์มอยภาษาแบบอี๊ๆ แม่ๆ โดยที่เขาไม่ต้องมานั่งทำงานแบบนี้แล้ว เขาสบายแล้ว ได้พาเขาไปเที่ยวรอบโลกอะไรอย่างนี้
นาย: ในอีก 10 ปีข้างหน้าของหนูถามว่าตอนนี้ภาพมันชัดมากไหม มันก็อาจจะไม่ได้ชัดมากขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าหนูอยากทำงานอะไรก็ได้ที่มีรายได้มาซัพพอร์ตครอบครัว ให้พ่อแม่ได้อยู่ด้วยกัน มีความสุขโดยที่เขาไม่ต้องมานั่งทำงาน เรายอมเหนื่อยเพื่อให้เขาไม่ต้องเหนื่อยดีกว่า แล้วด้วยความที่หนูเป็นลูกคนเดียวเราเลยอยากให้เขาภูมิใจในหน้าที่การงานของเรา แล้วก็ในอนาคตหนูอยากร้องเพลงกลางคืนด้วยค่ะ
วี: (หัวเราะ) อยากร้องเหมือนกันๆ
มายยู: หลังจากนี้ก็จ้างได้นะคะ
สตางค์: ของหนูถ้าในพาร์ตของครอบครัวอาจจะไม่ต้องถึง 30 ก็ได้ อยากออกไปทำงานเพื่อตอบแทนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาเยอะมากๆ แล้วทุกวันนี้สิ่งที่พอทำได้คือการตั้งใจเรียนให้ได้ทุนเพื่อแบ่งเบาภาระไม่ต้องให้ป๊ากับม๊ามาจ่ายเงินค่าเรียนแล้ว เราอยากทำงานมีเงินเยอะๆ ซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่สบาย ได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เพราะอย่างที่ทุกคนพูดว่าตั้งแต่อยู่วงมาเราแทบไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับครอบครัวเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราไปด้วยกันบ่อยมาก รู้สึกว่าช่วงชีวิตที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ความสุขที่เราได้ใช้กับครอบครัวมันหายไป ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะซื้อเวลาตรงนั้นกลับมา
ในพาร์ตของการทำงาน ก็ยังอยากทำงานในวงการบันเทิงอยู่ค่ะ แต่หนูก็ไม่รู้ว่าวงการบันเทิงมันจะอยู่ได้ยาวแค่ไหน เพราะมันก็มีช่วงอายุของมัน เลยคิดว่าเป้าหมายของหนูไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามคือหนูอยากทำงานที่มีความสุข และทำให้คนอื่นมีความสุข มีรอยยิ้มกับสิ่งที่เราทำ คือหนูเรียนสถาปัตย์มาใช่ไหมคะ เกี่ยวกับพวก Service Design หนูก็อยากไปทำบริษัทที่เกี่ยวกับพวกมัลติมีเดียที่ออกแบบสิ่งนู่นสิ่งนี้ให้เด็กๆ หรือว่าให้ผู้คนได้มีความสุขกับผลงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นเชิงไหนก็ตาม
วี: หนูว่าสุดท้ายเป้าหมายของทุกคนคืออยากให้ครอบครัวมีความสุข อยู่สบายโดยที่พวกเขาไม่ต้องมานั่งทำอะไรแล้ว
มายยู: ซึ่งสุดท้ายในชีวิตเรามันก็ต้องใช้เงิน
ฟ้อนด์: ทุกคนอาจจะไม่ได้อยากรวย แต่เป้าหมายสูงสุดของทุกคนคืออยากมีความสุขแบบไม่ต้องคิดอะไร ซึ่งการที่มีความสุขก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องมีเงิน
วี: หนูว่ามันไม่การันตีด้วยว่ารวยแล้วมันจะมีความสุข แต่การที่เรามีเงินมันสามารถซื้อ Possibility หลายๆ ได้
ภาพ: BNK48
สมมติว่าในอีก 10 ปีข้างหน้ารุ่น 2 ได้โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง คิดว่าภาพในวันนั้นจะเป็นแบบไหน
วี: น่าจะแบบเงอะงะปะ (หัวเราะ)
มายยู: น่าจะถามเรื่องชีวิตครอบครัวค่ะ เป็นยังไงบ้าง แต่งงานหรือยัง
สตางค์: พี่วีเปิดสวนผักเหรอ เป็นไงบ้าง
วี: คงมานั่งคุยกันเรื่อง BNK48 ว่าแบบจำได้เปล่าตอนนั้น
มายยู: หรือว่าสมมติมีพี่หรือเพื่อนเรามีลูกแล้วอาจจะคุยกันว่าแบบ เนี่ยป้าๆ น้าๆ เคยเป็น BNK48 นะ น้าเคยเต้นอย่างนี้เลย คุกกี้เสี่ยงทาย 16 คนบนเวที โคตรดัง (หัวเราะ)
ไม่แน่ตอนนั้นอาจจะมี BNK48 รุ่นที่ 15 แล้ว
มายยู: เอาจริงตอนนั้นลูกของเพื่อนเราอาจจะไปเป็น BNK48 อยู่ก็ได้นะตอนนั้น
วี: อุ้ย! อยากให้มันเป็นแบบนั้นอะ
ฟ้อนด์: แต่หนูกลับรู้สึกว่าถ้าหนูเจอทุกคนในอีก 10 ปี หนูคงยังมองภาพทุกคนเป็นแบบตอนนี้ เพราะหนูเป็นคนที่ถ้าตอนนี้หนูไปเจอเพื่อนมัธยมหรือประถมหนูก็จะมองหน้าเพื่อนคนนั้นแล้วมีภาพสมัยเด็กๆ ซ้อนอยู่ มันคงเป็นภาพเก่าๆ แต่ถ้าอีก 10 ปีได้มาเจอกันตอนนั้นก็คงอยากชวนมา ฤดูใหม่ สักแมตช์ (หัวเราะ)
วี: โห! ปวดหลังละ (หัวเราะ)
ฟ้อนด์: (หัวเราะ) อยากรู้ว่ายังอยู่ในสายเลือดไหม คงต้องขอชวนเต้น BNK48 ด้วยกันสักแมตช์ เพลงอะไรก็ได้ หนูว่าน่าจะเป็นภาพที่ไวรัลอยู่นะ ถ้าสมมติบางคนมีลูกแล้วชวนมาเต้นด้วยกันน่าจะตลกดี
มายยู: (หัวเราะ) น่าจะอบอุ่นดีเนอะ