×

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes การดิ้นรนสู่ความรุ่งโรจน์ของ ‘หิมะ’ ที่ร่วงหล่น

17.11.2023
  • LOADING...
The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes ผลงานลำดับที่ 5 จากภาพยนตร์ชุด The Hunger Games ที่ดัดแปลงมาจากนิยายยอดฮิตในชื่อเดียวกันของ Suzanne Collins โดยภาคนี้ยังคงได้ Francis Lawrence ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จจาก The Hunger Games: Catching Fire (2013) และ The Hunger Games: Mockingjay – Part 1-2 (2014-2015) กลับมานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วยทัพนักแสดงมากฝีมือที่มาร่วมพาผู้ชมไปสำรวจ ‘ปฐมบท’ ของเกมล่าชีวิต นำโดย Rachel Zegler, Tom Blyth, Viola Davis, Peter Dinklage และ Hunter Schafer ฯลฯ 

 

The Ballad of Songbirds & Snakes ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในภาคแรกนาน 64 ปี ผ่านสายตาของ Coriolanus Snow (Tom Blyth) ในวัยหนุ่ม ผู้เป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลที่ล่มสลายจากสงครามครั้งใหญ่ในแคปิตอล เขาได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงของ Lucy Gray Baird (Rachel Zegler) เด็กสาวบรรณาการจากเขต 12 ที่เข้าร่วมการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 ก่อนที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะก่อตัวขึ้นท่ามกลางเกมที่เดิมพันด้วยความเป็นและความตาย 

 

ควบคู่ไปกับการพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับสองบุคคลสำคัญอย่าง Casca Highbottom (Peter Dinklage) ผู้เป็นบิดาแห่งเกมล่าชีวิต และ Dr.Volumnia Gaul (Viola Davis) เกมเมกเกอร์ผู้กุมชะตาชีวิตของผู้เข้าแข่งขัน ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของ Coriolanus Snow ไปตลอดกาล 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง:


 

 

The Hunger Games นับว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชุดที่อัดแน่นไปด้วยองค์ประกอบน่าสนใจมากมาย เริ่มตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของประเทศสมมติอย่างพาเน็ม, รายละเอียดปลีกย่อยของทั้ง 12 เขต, ความเป็นมาของเกมล่าชีวิต, ประเด็นทางการเมืองที่เข้มข้น ไปจนถึงเหล่าตัวละครที่ต่างก็มีเรื่องราวน่าสนใจให้เราเข้าไปสำรวจ จึงทำให้ The Hunger Games เต็มไปด้วยวัตถุดิบที่เปิดโอกาสให้ผู้สร้างสามารถหยิบมาต่อยอดได้มากมาย 

 

เช่นเดียวกับตัวละคร Coriolanus Snow กับคาแรกเตอร์ของจอมเผด็จการผู้เยือกเย็น ที่เปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และไร้ความปรานี บวกกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Donald Sutherland ที่ถ่ายทอดความน่าเกรงขามผ่านบทสนทนาอันเฉียบคม จนเราสัมผัสได้ถึงความกดดันจากคนคนนี้ได้อย่างชัดเจน

 

ดังนั้นการที่ผู้สร้างตัดสินใจหยิบตัวละคร Snow มาต่อยอดเรื่องราว เพื่อพาเราไปสำรวจเส้นทางก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของพาเน็มใน The Ballad of Songbirds & Snakes จึงเป็นพล็อตที่สร้างความน่าสนใจได้ดีในตัวเองอยู่แล้ว

 

 

ขณะเดียวกันองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมให้เรื่องราวต้นกำเนิดของ Snow แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมคือ การที่ตัวภาพยนตร์เลือกใช้ Snow เป็นตัวแทนของผู้ชมในการพาเราไปสำรวจเรื่องราวของแคปิตอลผ่านสายตาของคนที่เติบโตและอาศัยอยู่ในนั้น ขณะที่ภาพยนตร์ 4 ภาคแรกเราจะได้รู้จักกับแคปิตอลเขต 12 และเกมล่าชีวิตผ่านสายตาของ Katniss Everdeen (Jennifer Lawrence) และเหล่าบรรณาการที่เป็นตัวแทนของผู้ถูกกดขี่

 

ไล่เลียงตั้งแต่เรื่องราวในวัยเด็กของ Snow ที่เติบโตและต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางสงคราม มุมมองของ Snow และผู้คนรอบข้างที่มีต่อกลุ่มกบฏและผู้คนที่อาศัยอยู่ใน 12 เขต, การต่อสู้ดิ้นรนของเหล่านักเรียนด้วยกันเองเพื่อไขว่คว้าชีวิตที่ดีขึ้น ไปจนถึงการค้นหาเหตุผลในการมีอยู่ของเกมล่าชีวิตที่เริ่มเสื่อมความนิยม 

 

  

ซึ่งประเด็นหนึ่งของภาพยนตร์ที่ถูกนำเสนอผ่านเส้นทางของ Snow ออกมาได้อย่างน่าสนใจคือ การที่ตัวละคร Casca Highbottom และ Dr.Volumnia Gaul เลือกให้ Snow และเหล่า ‘นักเรียน’ ระดับหัวกะทิของแคปิตอลมารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของบรรณาการ ซึ่งในแง่หนึ่งตัวภาพยนตร์ก็อาจกำลังย้ำเตือนให้เราเห็นว่า รัฐเผด็จการนั้นใช้ ‘การศึกษา’ ในการปลูกฝังและชักจูงความคิดของผู้คนอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการชักจูงให้ผู้คน ‘เกลียดชัง’ กันเอง เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม

 

เช่นเดียวกับ The Hunger Games 4 ภาคแรกที่ฉายภาพให้เราเห็นถึงพลังของ ‘สื่อ’ ที่ถูกใช้เป็นอาวุธในการตอบโต้และชักจูงความคิดของผู้คน ทั้งฝั่งของแคปิตอลที่มีเกมล่าชีวิตเป็นสื่อในการสร้างความบันเทิงแก่ผู้คนในแคปิตอล ไปพร้อมๆ กับการสร้างความชอบธรรมในการกดขี่ผู้คนจากทั้ง 12 เขต หรือจะเป็นผู้นำฝั่งกบฏอย่าง Coin (Julianne Moore) ที่ใช้ ‘สื่อโฆษณา’ ในการปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านแคปิตอล โดยมี Katniss Everdeen เป็นสัญลักษณ์

 

 

นอกจากการพาผู้ชมไปทำความรู้จักตัวละคร Snow ในแง่มุมที่ลึกซึ้งมากขึ้นและประเด็นการเมืองที่เข้มข้นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ The Ballad of Songbirds & Snakes นำเสนอออกมาได้ดีไม่แพ้ 4 ภาคแรกคือ ฉากการเอาชีวิตรอดของ Lucy Gray และเหล่าบรรณาการภายในเกมล่าชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยความกดดันและลุ้นระทึก 

 

รวมถึงองค์ประกอบสำคัญที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ ตัวละคร Lucy Gray ที่นักแสดงนำอย่าง Rachel Zegler นำเสนอออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ โดยเฉพาะบทเพลงอันไพเราะที่เปรียบเสมือนเป็นอาวุธสำคัญของเธอ ซึ่ง Rachel Zegler สามารถถ่ายทอดทุกห้วงอารมณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญ ทั้งความกดดัน หวาดกลัว และเศร้าโศก ผ่านบทเพลงได้อย่างทรงพลังไม่แพ้ผลงานก่อนหน้าอย่าง West Side Story (2021) เลยจริงๆ 

 

เช่นเดียวกับ Tom Blyth ที่ถ่ายทอดความอ่อนไหวของ Snow วัยหนุ่มออกมาได้อย่างมีมิติไม่แพ้กัน ทั้งความห่วงใยที่เขามีต่อญาติสนิทอย่าง Tigris (Hunter Schafer) ซึ่งนำมาสู่ความทะเยอทะยานที่ต้องการพาตระกูล Snow กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง รวมไปถึงความโศกเศร้าและเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญระหว่างทาง จนก่อร่างให้เขากลายมาเป็นจอมเผด็จการในที่สุด  

 

 

ในภาพรวมแล้ว สำหรับผู้เขียน The Ballad of Songbirds & Snakes ถือเป็นการกลับมาบนจอยักษ์อีกครั้งของภาพยนตร์ชุด The Hunger Games ที่สมการรอคอยจริงๆ ทั้งการทำหน้าที่พาผู้ชมเข้าไปสำรวจโลกของ The Hunger Games อย่างเจาะลึกมากขึ้น พร้อมกับการแนะนำให้เรารู้จักกับตัวละคร Snow ในหลากหลายมิติ รวมถึงการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Rachel Zegler และ Tom Blyth ที่เราไม่อาจละสายตาไปจากพวกเขาได้เลย  

 

รับชมตัวอย่าง The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes ได้ที่:

 

 

ภาพ: Mongkol Major

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising