×

ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ กรณีสื่อ-ประชาชน ฟ้องเพิกถอนข้อกำหนดห้ามเสนอข่าวที่อาจทำให้หวาดกลัว 6 ส.ค. นี้ เวลา 13.30 น.

โดย THE STANDARD TEAM
02.08.2021
  • LOADING...
media temporary protection order

วันนี้ (2 สิงหาคม) หลังสื่อมวลชนและประชาชน นำโดย The Reporters, Voice TV, THE STANDARD, The Momentum, THE MATTER, ประชาไท, Dem All, The People, way magazine, echo, PLUS SEVEN และประชาชนเบียร์ พร้อมทีมทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน รวมตัวยื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก กรณีออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ให้อำนาจ กสทช. ‘ตัดเน็ต’ ผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ซึ่งเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีความจำเป็น ไม่ได้สัดส่วน และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

 

โดยขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดฉบับที่ 29 เนื่องจากการห้ามเผยแพร่ ‘ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว’ เป็นการบัญญัติที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน อาจตีความได้ว่า แม้ข้อความนั้นเป็น ‘เรื่องจริง’ ก็อาจจะเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดนี้ และถูกระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ และในวันเดียวกันนี้ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนด้วย

 

อีกทั้งการที่ให้ กสทช. สั่งระงับสัญญาณจาก IP Address เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองแน่นอน เพราะ IP Address ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลเหมือนเลขบัตรประชาชน แต่เป็นเหมือนบ้านเลขที่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายๆ คน ผ่านไวไฟที่อาจมีคนเข้าใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับความยินยอม เช่น แอบรู้รหัสหรือแฮกเข้ารหัสได้ นอกจากนี้หมายเลข IP Address ที่ User เข้าใช้งานแต่ละครั้งจะไม่ซ้ำกัน หาก กสทช. ตรวจพบข้อความที่เห็นว่าเป็นการกระทำความผิดล่าช้า ผู้ที่ถูกระงับสัญญาณอาจไม่ใช่ผู้ที่เผยแพร่ข้อความดังกล่าวแล้วก็ได้ นอกจากนี้ในสถานการณ์โรคระบาดโควิดที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ประชาชนต้องเข้าถึงสิทธิการฉีดวัคซีน สิทธิเยียวยาจากรัฐด้วยการลงทะเบียนผ่านอินเทอร์เน็ต นี่ยังไม่นับรวมมาตรการของรัฐ ที่จำกัดการเดินทางและการพบปะสมาคมของประชาชน ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ดี มาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ไม่ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการสั่ง ‘ตัดอินเทอร์เน็ต’ หรือการระงับการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน

 

ดังนั้นข้อกำหนดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่จำเป็นและไม่ได้สัดส่วน ทั้งผู้ออกก็ใช้ดุลพินิจในการออกข้อกำหนดโดยมิชอบเพราะไม่มีฐานของกฎหมายให้อำนาจ เป็นการละเมิด จำกัดและกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน ซึ่งได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงขอให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารตามวิถีระบอบประชาธิปไตย

 

ต่อมาเวลา 15.35 น. องค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่งออกนั่งพิจารณาคดีที่ห้อง 706 ศาลแจ้งต่อโจทก์ว่า ศาลรับฟ้องและรับคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินไว้พิจารณา

 

ฝ่ายโจทก์นำพยานเข้าไต่สวนทั้งหมด 5 คน ได้แก่ ตัวแทนโจทก์ 2 คน คือ ฐปนีย์ เอียดศรีไชย จากสำนักข่าว The Rerporters, ธนกร วงษ์ปัญญา จากสำนักข่าว THE STANDARD และพยานผู้เชี่ยวชาญ 3 คน คือ สุภิญญา กลางณรงค์ อดีต กสทช., ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อรรถพงศ์ ลิมศุภนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์

 

ล่าสุดหลังจบกระบวนการไต่สวน เมื่อเวลา 19.20 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์ โดยนัดฟังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ วันที่ 6 สิงหาคม เวลา 13.30 น.

 

สำหรับกรณีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ความว่า …อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดไว้ดังต่อไปนี้

 

ข้อ 1. ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

 

ข้อ 2. ในกรณีมีการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารตามข้อ 1. ในอินเทอร์เน็ต ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) แจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ตตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมทุกรายทราบ และให้ผู้รับใบอนุญาตดังกล่าวทุกรายมีหน้าที่ตรวจสอบว่าข้อความหรือข่าวสารดังกล่าวมีที่มาจากเลขที่อยู่ไอพี (IP Address) ใด หากเป็นเลขที่อยู่ไอพี (IP Address) ที่ตนเป็นผู้ให้บริการ ให้แจ้งรายละเอียดตามที่สำนักงาน กสทช. กำหนด ให้สำนักงาน กสทช. ทราบ และให้ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ไอพี (IP Address) นั้นทันที

 

ให้สำนักงาน กสทช. ส่งรายละเอียดตามที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่งให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็วเพื่อดำเนินคดีต่อไป ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ต และให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยข้อกำหนดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising