×

THE BEAUTY OF LIFE

10.05.2018
  • LOADING...

จากบทบาทหน้าจอโทรทัศน์ในฐานะคนข่าว สู่ขวัญ บูลกุล ข้ามสายอาชีพมาชิมลางการแสดงในภาพยนตร์และซีรีส์ทางโทรทัศน์ ก่อนจะกลับมาโด่งดังจนตัวเองแปลกใจในฐานะพิธีกรรายการออนไลน์ที่พาคนดูสนุกไปกับการจับจ่ายใช้สอย ตั้งแต่ห้างหรูไปจนตลาดริมถนน ทั้งหมดล้วนผ่านมุมมองเรื่องความสวยงามตามแบบฉบับของเธอ

 

ความงามอยู่ตรงไหน แล้วสิ่งที่วัดความงามของแต่ละคนแตกต่างหรือคล้ายกันอย่างไร การมองของสิ่งหนึ่งโดยคนสองคนย่อมไม่เหมือนกัน
แต่คนกลุ่มหนึ่งอาจจะกำหนดมาตรฐานให้อยู่ในแนวทางเดียวกันได้

 

แต่ความงามของสิ่งที่เป็นนามธรรม อะไรคือตัวกำหนดกฎเกณฑ์ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้…

 

ในบ่ายวันที่อากาศร้อนไม่อาจทำอะไรความสวยของสาววัย 40 กว่าคนนี้ได้ THE STANDARD คุยกับสู่ขวัญแบบเจาะลึกที่ไปไกลกว่าภาพลักษณ์ภายนอก เพื่อค้นหาความหมายและแง่งามของชีวิต

 

บางทีเราเป็นคนนั่งเฉยๆ นั่งดูนก ดูต้นไม้ ก็คิดว่า เออ ชีวิตมันก็ไม่มีอะไรเลยนะ ชีวิตก็แค่เป็นการเดินต่อไป จริงๆ ชีวิตแทบจะไม่ได้มีชอยส์อะไรให้เราเลือกนะ เราอย่าไปคิดว่าชอยส์เยอะแยะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับเรา มันก็คือ move on ต้องไปต่อ ไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ หรือบาดแผล คือต้องก้าวต่อไป

 

หลังจากเป็นพิธีกรรายการออนไลน์มาพักใหญ่ ตอนนี้คุณมีคนเฝ้ารอติดตามมากมาย

ตั้งแต่ต้นเราไม่ได้คาดหวังอะไรจากสิ่งนี้เลย ตอนนั้นเราทำด้วยความสนุก ไม่มีอะไรผูกมัด นึกออกก็ทำ นึกไม่ออกก็ยังไม่ทำ และคิดว่า พอทำไปสักพักก็อาจจะเวียนให้คนอื่นมาทำ แต่ตอนนี้รู้สึกอย่างเดียวเลยว่ามันมี commitment ระหว่างเรากับคลิปมากขึ้น เพราะมีคนรอดูเราเยอะ แต่ก็ต้องพูดว่า ถึงแม้ตอนนี้คลิปจะได้รับความนิยม อย่างไรวันหนึ่งมันก็ต้องมีวันสิ้นสุด เราคงไม่ได้ทำคลิปนี้ไปเป็นสองปี สามปี วันนี้เรายังรู้สึกสนุก ยังคิดออกว่าจะไปไหน แต่ถ้าหากวันหนึ่งรู้สึกว่ามันเหนื่อยมากกว่าสนุก หรือมีอะไรที่วุ่นวายเข้ามาในชีวิตมากเกินที่จะทำให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิต ก็คิดว่า น่าจะถึงเวลาลองเปลี่ยนคนอื่นมาทำดูบ้าง

 

ได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหมว่า ทำไมจู่ๆ ถึงมีคนมาชื่นชอบเยอะขนาดนี้

คิดว่า คนคงเซอร์ไพรส์ว่าขวัญเป็นคนแบบนี้เหรอ (หัวเราะ) เพราะว่าตั้งแต่ที่เราทำงานอยู่ในสายตาประชาชนมา สิ่งที่เราทำจะดูซีเรียสหมดเลย ตอนทำข่าวก็จะเน้นข่าวเศรษฐกิจแบบตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้น น้ำมัน ค่าเงิน พอย้ายมาเล่นภาพยนตร์ เล่นซีรีส์ ก็เล่นดราม่าอีก ขวัญเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหน คล้ายๆ เก็บตัว ไม่ใช่คนที่จะชอบไปงานสังคม เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักเราจริงๆ น้อยมาก ภาพเราที่คนส่วนใหญ่มองน่าจะเป็นอะไรที่ซีเรียสและจริงจัง ไม่ค่อยคุยเล่น
พอเขามาเห็นคลิปนี้ปุ๊บ ก็คงคิดว่า อ๋อ พี่เป็นคนแบบนี้
เหรอคะ เลยอาจจะเป็นจุดที่ทำให้คนพูดถึง

 

โดยพื้นฐานเป็นคนเก็บตัวเหรอ

ขวัญมีเพื่อนของขวัญกลุ่มหนึ่งที่เรียนจุฬาฯ ด้วยกัน คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จนทุกวันนี้ก็มีเพื่อนกลุ่มเดียว เราก็แฮปปี้ที่จะอยู่ด้วยกัน กลุ่มหลักวันศุกร์เย็น
หรือเวลาเราว่างก็จะเป็นกลุ่มนี้ ก็มีเพื่อนที่ทำงาน เราอยู่ตรงไหนก็จะมีเพื่อนตรงนั้น แต่ไม่ใช่คนสนุกกับการออกสังคม มีงานอะไรพิเศษเราก็ไป บางที
คนชวนไปงานก็มีเหตุผลที่เราไป แต่บางทีการไปงานที่ไม่รู้ไปเดินอะไร เดินวนไปวนมาให้คนถ่ายรูปแล้วกลับ ไม่รู้ว่าเราจะมาทำอะไรดี เราเองก็ไม่ใช่
ซูเปอร์สตาร์ที่ขาดเราไปสักคนแล้วมันจะเสียหาย แล้วการแต่งหน้าแต่งตัวมามันเหนื่อยมากนะ ฉะนั้นถ้าเราไม่สำคัญขนาดนั้นก็ไม่ไปดีกว่า

 

แต่ที่บอกว่า เก็บตัว ฟังดูเงียบ แต่จริงๆ ไม่ค่ะ บางคนถามว่า ในคลิปนี่คือขวัญแล้วใช่ไหม จริงๆ มันขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง แต่ยังเกรงใจอยู่ ไม่กล้าปล่อยหมด เป็นคนร่าเริงเบอร์เกือบสุดเหมือนกัน แต่ชอบอยู่
ในที่ที่ตัวเองรู้สึกสบายใจ

 

คนรู้จักคุณในฐานะนักข่าว ต่อมาก็ดังขึ้นมาจากภาพยนตร์ แล้วจู่ๆ ก็มาทำรายการออนไลน์
จนโด่งดังมาก ต่างจากเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าวงการแต่เด็ก ประสบความสำเร็จเร็ว แต่กับคุณดูจะเป็นสูตรที่ต่างออกไป

ไม่มีสูตร ไม่มีอะไรสักอย่างที่เกิดจากการวางแผนมาก่อน มันคือความบังเอิญ แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นความสนใจของตัวเอง ตอนที่เรากระโดดไปแสดง
รัก 7 ปี ดี 7 หน เรารู้สึกว่า โลกการแสดงมันเป็น
อีกโลกหนึ่งที่น่าสนใจมาก ทำให้หลังจากนั้นก็มี Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ ตามมา

 

ตอนเล่น รัก 7 ปี ดี 7 หน มันเป็นความบังเอิญที่พี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) บอกว่า คนนี้ต้องเป็นสู่ขวัญ แกชอบดาราญี่ปุ่นคนหนึ่ง แล้วมันมีภาพนิ่งของดาราคนนี้ภาพหนึ่งที่เรามีโพสิชันเดียวกับเขา และมีแววตาที่พี่เขาอยากได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พี่เก้งให้เรา 
แล้วเนื้อหาหลักของ รัก 7 ปี ดี 7 หน เราก็ชอบมาก

 

เราคิดว่า อย่างหนึ่งมันเป็นความบังเอิญ อีกอย่างคือจังหวะ บางทีเราเป็นคนนั่งเฉยๆ นั่งดูนก ดูต้นไม้ ก็คิดว่า เออ ชีวิตมันก็ไม่มีอะไรเลยนะ ชีวิตก็แค่เป็นการเดินต่อไป จริงๆ ชีวิตแทบจะไม่ได้มีชอยส์อะไรให้เราเลือกนะ เราอย่าไปคิดว่าชอยส์เยอะแยะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับเรา มันก็คือ move on ต้องไปต่อ ไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ หรือบาดแผล 
คือต้องก้าวต่อไป มันแค่เป็นความคิดที่ฟึ่บขึ้นมาแล้วก็จบไป ทำงานของเราต่อไป สารของการวิ่งก็คืออันนี้เลย เรารู้สึกเชื่อในเมสเสจนี้มาก

 

ตอนนั้นก็คิดในใจ เราไม่เคยแสดง ไม่อาละวาดด่าทอใครในที่สาธารณะ ร้องไห้ ไม่พอใจ ก็ไม่เคย จะให้มาแสดงอารมณ์รัก โกรธ เสียใจ อายมาก แต่เรารู้สึกว่า การแสดงเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ทำให้
ใช้ชีวิตเป็นคนคนหนึ่งได้ มันมหัศจรรย์ที่อนุญาต
ให้เราเป็นคนอื่นได้ เหมือนได้เปิดโลก ได้มีความรู้สึก ได้ไปเอ็นจอย แล้วก็ออกมาเป็นเรา

 

ขวัญจะพูดเสมอว่า ตัวเองเป็นคนเลื่อนลอย ไม่มีความฝันหรือจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ใช่คนเก่ง ไม่เก่งกีฬา ไม่ใช่คนมีความสามารถพิเศษอะไร แต่ถ้าขวัญทำอะไรแล้ว ขวัญพยายาม เพราะมีความรู้สึกว่าไม่เก่งมั้ง มันเลยอาจเป็นพื้นฐานความคิดของเรา ถ้าเราทำอะไร เราต้องลงไปเต็มๆ เท่านั้น

 

ก่อนเปิดกล้องมันต้องถึงขั้นร้องไห้ต่อหน้าคนเยอะๆ ก็ถามตัวเองว่า จะอายหรือไม่อาย ตกลงถ้าอายโทร.ไปหาพี่เก้งเดี๋ยวนี้ว่า “พี่ หนูขอโทษ หนูเล่นไม่ได้จริงๆ เพราะหนูอาย” บอกเขาไปเลยว่าให้เปลี่ยนคน แต่ถ้าจะเล่นต้องบอกตัวเองว่า ไม่อาย ก็ต้องตอบตัวเอง เออ ไม่อาย

 

พออายุ 40 สิ่งที่เราเห็นจากพ่อแม่ลุงป้าน้าอาคือ ความเจ็บป่วย บางคนแทบจะหาความสุขจากชีวิต
ไม่ได้ มันก็เกิดคำถามว่า อะไรที่ทำให้เราอยู่กับตัวเองได้ สิ่งที่จะทำให้เราสงบและพร้อมที่จะจากโลกนี้ไปคือความทรงจำ ความรู้สึกว่า เราได้มีชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว ได้ทำทุกอย่างเต็มที่ เราได้มีคนที่เรารัก เราได้ทำประโยชน์ให้ทุกคน

 

ตอนนั้นถ่ายฉากร้องไห้ไปเยอะแล้วหรือยัง

ฉากแรกร้องไห้เลยค่ะ ซีนแรกที่ขวัญจำได้เลยคือ ตอนวิ่งขึ้นสะพานพระราม 8 แล้วเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าไม่ได้มาวิ่งคงไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น นางเอกต้องอยากร้องไห้ แล้วไม่รู้ด้วยอะไร มันออกมา มันขึ้นมาหมดเลย ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ชื่นใจหน่อย

 

จำได้ว่าพอวิ่งขึ้นไป เราบอกตัวเองได้ว่า เราอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่ากลัวหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่พอไปแตะความรู้สึกนั้นได้ ก็ทำให้เรามั่นใจว่า จากคนที่ไม่วิ่งเลย ไม่ชอบ เหนื่อยมาก หายใจไม่ออก ครั้งแรกจำได้ว่า วิ่งไป 2 นาที หายใจไม่ออก ไม่ไหวแล้ว จะตายแน่ๆ แต่พี่เก้งตั้งเป้าไว้ที่ 10 กิโลฯ ไม่อย่างนั้นเปิดกล้องไม่ได้ เรานึกว่าเขาพูดเล่น แต่เขาเอาจริง

 

ตอนถ่ายวิ่งทั้งวัน แล้วมันเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวแสดงด้วยว่า ความเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ที่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงออกกำลังกาย เป็นคนอ่านข่าว อยู่ในสตูดิโอ ใช้ชีวิตสบายๆ แล้ววันหนึ่งต้องมาวิ่ง รู้สึกว่าทำให้เราก้าวข้ามอะไรหลายอย่าง เราวิ่งมาถึง 10 กิโลฯ ปวดขา เดินขึ้นบันไดไม่ได้เลย มันเจ็บ มันตึงไปหมด แต่ผู้หญิงคนนี้วิ่งได้ถึง 42 กิโลฯ ก็รู้สึกว่า ไอ้ความเจ็บปวดในหัวใจเขามันมากขนาดไหน

 

ระหว่างนั้นมีคนเสนอให้รับบทอื่นเหมือนกัน แต่ขวัญรู้สึกว่า การต้องเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่เรา 
สิ่งนั้นต้องมีความหมายกับชีวิตด้วย ขวัญจึงบอกตั้งแต่วันที่เล่น รัก 7 ปี ดี 7 หน จบว่า ไม่รู้ว่าจะเล่นอีกไหม แต่การแสดงไม่ใช่อาชีพเราแน่ๆ สำหรับขวัญ การแสดงมันมากกว่าอาชีพ มากกว่าการทำงาน 
แต่เป็นโอกาสที่เราจะเลือกแสดง เพราะเชื่อในเมสเสจของมันจริงๆ และขวัญรู้สึกอยากจะเป็นส่วนหนึ่ง
ที่จะถ่ายทอดเมสเสจนี้ไปถึงคนอื่นได้

 

พอมา Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ ตอนแรกโปรดิวเซอร์โทร.มาบรีฟสั้นๆ เราก็ยังงงๆ โปรดิวเซอร์ก็เลยบอกว่า นัดเจอผู้กำกับดีกว่า เขาเขียนบทเอง ก็นัดเจอกัน เราได้ฟังเรื่องราวก็ เอา! ณ จุดนั้นเลย ตัดสินใจบนโต๊ะเลย เราชอบสิ่งนี้ อาจจะด้วยความเป็นแม่คนด้วย

 

แล้วก็ทำให้เราคิดถึงเรื่องพ่อแม่ ในสังคมไทยเราจะถูกสอนว่า พ่อแม่เป็นสิ่งประเสริฐ แต่จริงๆ แล้ว
พ่อแม่คือ คนธรรมดาที่เขามีลูก ที่เขาบอกว่า พ่อแม่เป็นสิ่งประเสริฐ เพราะเขารักเรามากกว่าชีวิตเขา 
แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่เคยทำผิด เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา หรือเอาเปรียบใคร เขาเป็นคนคนหนึ่งที่ออกนอกบ้าน
เขาอาจจะไปด่าทอ เอาเปรียบใคร หรือทำผิดพลาดในชีวิต แต่เขามีเราเป็นลูก แล้วเขารักเราที่สุดในชีวิต เขาตายแทนเราได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ประเสริฐสำหรับเรา ไม่ใช่เพราะไม่มีความด่างพร้อยใดๆ

 

สิ่งที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือ ความรักและความสัมพันธ์ของครอบครัวมันลึกซึ้งเกินกว่าจะใช้เหตุผลธรรมดาอธิบายได้

 

ยิ่งตอนที่ผู้หญิงมาง้อผู้ชายตรงบันไดหนีไฟ คือจะมาบอกรักผู้ชายนั่นเอง โอ๊ย ขนลุก ไม่อยากเล่นซีนนี้เลย แต่เราก็ต้องเล่น และเพราะการเล่นนี่แหละทำให้เห็นตัวเอง ที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคน Open-Minded เป็นคนโอเคแล้ว ยอมรับในความแตกต่างของทุกคน ก็ไม่ขนาดนั้นนี่ เราก็คงยอมรับแค่บางจุด

 

การแสดงทำให้เข้าใจคนอื่น เข้าใจชีวิตในอีกมุมหนึ่ง

ใช่มากๆ เลยค่ะ อย่างสมัยก่อนตอน รัก 7 ปี ดี 7 หน ขวัญพยายามถามพี่เก้งอยู่ตลอดว่า ตกลงหญิงชายคู่นี้เขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า คือสมัยก่อนขวัญไม่ชอบผู้หญิงแก่กว่าผู้ชาย คือแก่กว่าปีสองปีโอเคนะ แต่แก่ห่างกันสิบกว่าปี จะมีความรู้สึกจั๊กจี้ แต่ก่อนเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่นะ เรารู้สึกอคติ

 

พี่เก้งก็บอกว่า เขาก็ต้องมีความรู้สึกดีต่อกัน
นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นมันจะไปวิ่งตามกันเหรอ เราก็ไม่อยากเล่นเลย (หัวเราะ) ยิ่งตอนที่ผู้หญิงมาง้อผู้ชายตรงบันไดหนีไฟ คือจะมาบอกรักผู้ชายนั่นเอง โอ๊ย ขนลุก ไม่อยากเล่นซีนนี้เลย แต่เราก็ต้องเล่น 
และเพราะการเล่นนี่แหละทำให้เห็นตัวเอง ที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคน Open-Minded เป็นคนโอเคแล้ว ยอมรับในความแตกต่างของทุกคน ก็ไม่ขนาดนั้นนี่ เราก็คงยอมรับแค่บางจุด

 

ทำให้เรามองความรักต่างไปว่า ความรักคือความรัก เป็นความรู้สึกล้วนๆ ไม่เกี่ยวว่าผู้หญิงต้องรักผู้ชาย ผู้ชายต้องรักผู้หญิง คือทุกอย่างพวกนี้สังคมสร้างขึ้นมา ผู้หญิงจะรักผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายจะรักผู้ชายก็ได้ มันเป็นความรู้สึกธรรมชาติที่ไม่มีใคร
ห้ามได้ นี่ไง สิ่งที่เราได้จากการแสดง การที่เราได้เป็นคนอื่น ยืนจากจุดอื่นแล้วมองเข้ามา ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างอื่นมากขึ้น เพราะบางทีการอยู่ในจุดเดียวมาตลอดชีวิต มีประสบการณ์แบบนี้ กลุ่มคนที่เราอยู่ด้วยเป็นแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้นะที่ทัศนคติเราจะเป็นแบบนั้น เป็นสิ่งที่เตือนเราว่า เรายังไม่ดีพอหรอก เรายังมีจุดที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม

 

ถ้ามองกลับมาที่ครอบครัวเราเอง มีอะไรที่ทำให้คุณนึกถึงความสำคัญของครอบครัวอย่างแท้จริง

จริงๆ คุณพ่อคุณแม่ขวัญเลิกกันตั้งแต่เด็ก ตรงนี้อาจเป็นอันหนึ่งที่รู้สึกว่า เรายอมรับในความแตกต่างได้ เราจำไม่ได้ว่าเขาให้เหตุผลอะไรในการเลิกกัน แต่มันเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้ว่า การที่คนสองคนจะอยู่
ด้วยกันและรักกันจนตายจากกัน มันยากเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีแบบนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่ใช่ แยกกันไปดีกว่า

 

คุณพ่อคุณแม่ขวัญก็แยกย้ายกันไปแล้วหาจุดลงตัวได้ทั้งคู่ ทุกวันนี้มีคู่ครองที่ใช่มากสำหรับเขา
ทั้งคู่ ขวัญเลยยิ่งมีความรู้สึกว่า ความ ‘จำเป็นต้อง’ ของสังคมนี่น้อยลงไปอีก

 

เราโตมาในครอบครัวที่ทุกคนเสียสละ คุณยายเป็นห่วงกลัวจะกระทบกระเทือน สิ่งแรกที่พ่อทำคือ นัดจิตแพทย์ปรึกษาว่า “ลูกผมคนหนึ่ง 8 ขวบ คนหนึ่ง 2 ขวบ บุคลิกภาพต่างกัน ควรจะเตรียมสภาพอย่างไรก่อนหย่า”

 

คุณหมอบอกว่า ต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะ ทุกคนจะประหลาดใจมากว่าคุณพ่อยังเลี้ยงขวัญอยู่ในบ้านคุณยาย ทุกคนก็ถามว่า “ยายหรือย่า” เราก็บอก “ยาย” เพราะสิ่งที่จิตแพทย์บอกก็คือ แม่ไม่อยู่เนี่ย เด็กจะช็อกมาก เพราะฉะนั้นให้เปลี่ยนแปลงทีละเรื่อง 
ก็โอเคว่าแยกกัน คุณแม่ไม่อยู่บ้านนี้ แต่ว่าห้ามย้ายลูกออกจากบ้าน คือถ้าวันหนึ่งพ่ออุ้มลูกสองคนไปอยู่บ้านใหม่ แม่ก็ไม่มี มันมากเกินไปสำหรับเด็ก อะไรที่คงสภาพเดิมได้ให้คงสภาพนั้นไปก่อน อะไรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ค่อยเปลี่ยน ทุกคนร่วมมือกันหมด

 

คุณแม่ก็มองว่า คุณพ่อมีศักยภาพในการเลี้ยงดูลูกดีกว่า ก็ให้อยู่กับพ่อที่บ้านเดิม แม่ย้ายออก 
แต่ยังไม่ย้ายไปเลย ต้องมีระยะการถอยห่าง เช่น 
ใน 7 วัน อยู่บ้านนี้ 5 วัน 2 วัน นอนที่อื่น แล้วก็ค่อยเขยิบๆ จากวันเว้นวัน เป็น 2 วัน แล้วก็ค่อยๆ ถอย แล้วคุณยายก็ยังคอยดูแลขวัญเหมือนเดิม

 

เราโตมาพร้อมกับความเสียสละของทุกคนทั้งหมด ซึ่งความรักก็ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบอีก ความรักอบอุ่นสมบูรณ์ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องอยู่
ในบ้าน มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันทั้งหมดมันไม่จริง
มันเป็นสิ่งที่คนเอามาใส่หัวให้เราเรียนรู้ เป็นภาพที่เราเรียนรู้ตอนเด็กๆ

 

คุณยายก็เป็นผู้ประคับประคองความรู้สึกของเด็ก

อันนั้นมันทำให้ขวัญเห็นชัดเลยว่า การโตขึ้นมาได้ของเรามันเกิดจากความเสียสละ ความพยายามที่จะรักษาเรา ให้มีอะไรกระทบกระเทือนเราน้อยที่สุด ตอนนั้นขวัญ 2 ขวบค่ะ เล็กจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ เล็กจนไม่มีภาพว่าอะไรยังไง รู้แต่มีแต่คำถามว่า 
วันนี้แม่มาหรือเปล่า และจะจำภาพได้ว่า คุณแม่นอนห้องนี้ คุณพ่อนอนห้องนี้ พอเราเริ่มโตก็เริ่มรู้แล้ว อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง

 

แต่มันก็เป็นสิ่งที่เตือนให้ขวัญคิดว่า บางทีเราไปสร้างภาพเพอร์เฟกต์ อย่างนี้ถึงเรียกว่าดี อย่างนี้ถึงเรียกว่าถูกต้อง เช่น สมัยนี้เราพยายามเลี้ยงลูกให้เพอร์เฟกต์ การศึกษาก็ดี ดนตรีก็ได้ กีฬาก็เลิศ 
3 ภาษาไปเลย ถึงจะเยี่ยม ไม่เห็นด้วยเลยค่ะ ทำไมเราชอบสอนภาพเพอร์เฟกต์ที่มันไม่จริงใส่หัวทุกคน ครอบครัวที่ดี ที่อบอุ่น ต้องพ่อแม่ลูก ทำให้เราไม่เห็นคุณค่าของของบางอย่างที่จริงๆ มันมีแล้วมันดีมาก อย่างขวัญในภาษาสังคมต้องเรียกว่า ครอบครัวแตกแยก เกิดมาในครอบครัวไม่สมบูรณ์ แต่สิ่งที่ขวัญเห็นคือ ความเสียสละ ความรักที่มันท่วมท้น
จนอาจจะมากกว่าครอบครัวปกติ

 

นั่นไม่ใช่วิธีที่เราสอนลูกเลย คุณไม่มีตารางกิจกรรมให้ลูกแบบที่คนสมัยนี้ทำกัน

ไม่ค่ะ ไม่มี จริงๆ มันอยู่ที่ความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว เด็กทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน สิ่งที่ขวัญเชื่อคือ เขาเกิดมาอย่างไร เราก็สนับสนุนให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาเป็นให้ดีที่สุด ถ้าเด็กคนหนึ่งชอบบวก
เลขมาก เอ็นจอยกับการเรียนรู้ภาษาใหม่มาก และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องสังเกตว่า ลูกเรามาแนวไหน แล้วก็สนับสนุนเขา ขวัญยังมีความเชื่อว่า อยากสนับสนุนสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าจะตั้งเป้าให้เขาไปให้ถึง

 

เราทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ แต่ถ้าเราอยู่ในสังคมไทย เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมนี้ยอมรับได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะมีแนวคิดในการเลี้ยงลูกอย่างไรก็ตาม การที่ลูกเรายังถูกวัดค่าโดยมาตรฐานบางมาตรฐาน เราจำเป็นต้องทำให้เขาตอบโจทย์ในมาตรฐานนั้นด้วย เขาต้องแยกแยะให้ได้ว่า นี่คือมาตรฐานของสังคม และนี่คือตัวตนของเขา แต่ทั้งคู่มันไปด้วยกันได้เสมอ การที่เรารู้ว่า กฎเกณฑ์ของสังคมคืออะไร แล้วปรับตัวให้เข้าถึง
กฎเกณฑ์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นโดยที่เราไม่จำเป็นต้องละทิ้งตัวตน  

 

สภาพสังคมที่เราเห็นตอนนี้ ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย มีความเป็นกันเองต่อกันมากขึ้น ใช้คำมึงมาพาโวย จนถึงขั้นหยาบคายด้วยซ้ำ ในคลิปของบล็อกเกอร์สมัยใหม่ก็มีคำเหล่านี้ แต่สิ่งที่คุณนำเสนอเรียกว่า เปลี่ยนภาพบล็อกเกอร์ออนไลน์ไปเยอะเลย

ขวัญเป็นคนที่ไม่ค่อยได้อยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ค่อยได้ดูคลิปอะไร แต่รู้ฟีดแบ็ก นั่นแหละที่ทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ ในโซเชียลมีเดียเขาพูดอะไรกัน ที่เราพูดเป็นภาษาธรรมดามาก ซึ่งมันน่าจะเป็นภาษาที่ใช้กัน
ในสังคมสาธารณะ เราแค่ไม่ได้พูดกูมึง อันนั้นทำให้แบบว่า เดี๋ยวๆ โซเชียลมีเดียเขาเป็นอย่างไรเหรอ 
ถึงได้ตกใจกับคำพูดของเราขนาดนี้

 

 

แล้วมีโอกาสได้ดูบ้างไหม

ก็มีแวบๆ เข้ามาค่ะ เราก็ อ๋อ โอเค ก็คงพูดจากันประมาณนี้แหละ ลูกเราไปโรงเรียน เด็กอายุ 12-13 พูดจากัน โอ้โห เราก็บอก “นี่ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย” เขาก็บอกว่า “แม่ ปราบน่ะน้อยแล้วนะ ไปดูเพื่อนปราบพูดที่โรงเรียนสิ” เราก็บอกว่า “ปราบจะพูดกับเพื่อนผู้ชาย แม่ไม่ว่า แต่ห้ามคุยกับเพื่อนผู้หญิง
แบบนี้” ปราบก็บอก “แม่ พวกเด็กผู้หญิงน่ะตัวดีเลย ปราบก็ไม่กล้าพูดกับเพื่อนผู้หญิงนะ พวกนั้นพูด
ก่อนเลย”

 

เรารู้สึกว่า มันคงเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ เราแค่รู้สึกว่า ไม่อยากให้ลูกพูดหรอก แต่เราก็พยายามยอมรับค่ะ ซึ่งก็เรียกลูกมาคุยว่า “แม่เข้าใจว่าเพื่อนเด็กผู้ชายคุยกัน แต่แม่ไม่อยากให้คุยกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ มันดูไม่เป็นสุภาพบุรุษ” สอง ถ้าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่หรือมีคนอื่นอยู่ห้ามพูดโดยเด็ดขาด (ลากเสียงยาวมาก) แม่ขอ

 

ขวัญว่า บางอย่างมันไม่ต้องรีบไปจัดการเพื่อให้เห็นผลในวันนี้ วันหนึ่งเขาก็จะเรียนรู้ จะแยกแยะได้เองว่า ควรหรือไม่ควร ชีวิตเราต้องเรียนรู้ ทำอะไรได้หรือไม่ได้

 

โลกออนไลน์มันยากที่จะควบคุม มีวิธีเดียวคือ สร้างความแข็งแกร่งจากคนของเราเอง ห้ามไม่ให้
มีเชื้อโรคไม่ได้ แต่เราฉีดภูมิต้านทานเข้าไปได้ 
ขวัญคิดว่าตอนนี้พ่อแม่ญาติพี่น้องนี่สำคัญต่อการ
เลี้ยงดูเด็ก ถ้าเราใส่ทัศนคติที่ดี ใส่ค่านิยมที่ถูกต้อง ให้เขาเรียนรู้ความสำคัญของการมีจริยธรรมและ
ศีลธรรม ของพวกนี้มันคือภูมิต้านทานค่ะ

 

นี่คือเหตุผลที่ทำให้เลิกทำงานประจำหรือเปล่า

นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เลิกทำข่าวหรืออะไรเลย แต่ถ้าถามว่า ยังให้ความสำคัญกับลูกเป็นที่หนึ่งไหม ก็ใช่ ถ้าจะให้ย้อนคือ มันเกิดความคิดหนึ่งตอนที่ขวัญอายุ 40 เราอาจจะใช้เวลาในชีวิตมาครึ่งทางแล้วนะ มันก็เป็นจุดที่เราทบทวนว่า จริงๆ ครึ่งแรกเราใช้ชีวิตอย่างไร เราทำทุกอย่างที่ควรทำแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมาต่างๆ มันตอบแทนเราพอสมควร ทำให้เรามีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ต้องเคร่งเครียด
กับการหาเงินเพื่อยังชีพ

 

แล้วพออายุ 40 สิ่งที่เราเห็นจากพ่อแม่ลุงป้าน้าอาคือ ความเจ็บป่วย บางคนแทบจะหาความสุขจากชีวิตไม่ได้ มันก็เกิดคำถามว่า อะไรที่ทำให้เราอยู่กับตัวเองได้ สิ่งที่จะทำให้เราสงบและพร้อมที่จะจากโลกนี้ไป คือความทรงจำ ความรู้สึกว่า เราได้มีชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว ได้ทำทุกอย่างเต็มที่ เราได้มีคนที่เรารัก เราได้ทำประโยชน์ให้ทุกคน

 

ขวัญก็เลยคิดว่า ในครึ่งหลังของชีวิต อยากจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เพื่อเติมเต็มความทรงจำ ความสุขตัวเอง คือบางทีการที่เราไม่ต้องทำอะไร 
แต่อยู่บ้านแล้วเรามีความสุข เราได้ทำกับข้าวให้
ลูกเรา มันเป็นคุณค่าของเราแล้ว เราไม่สามารถ
เอาคุณค่าของเราไปวัดคุณค่าของคนอื่นได้ ขวัญจะทำแต่กิจกรรมที่ขวัญอยากทำ ที่รู้สึกว่ามีความหมายสำหรับชีวิต และจะพยายามทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำ ไปในที่ที่ไม่เคยไป เพราะโลกมันกว้างใหญ่มากเราก็จะสำรวจมันให้กว้างที่สุด

 

ถ้าถามว่า ตอนอายุ 20 กับ 40 ชอบตอนไหน ก็ชอบ 40 ตอน 20 ข้อจำกัดมันเยอะมาก คือยังไม่เป็นตัวของตัวเองทั้งหมด แต่ 40 สิ เงินก็มี ทำอะไรก็ทำได้หมดเลย พ่อสอนมาตลอดว่า เกิดเป็นผู้หญิง สำคัญมากคือ คุณต้องดูแลตัวเองได้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วต้องพึ่งใครสักคนตลอด ชีวิตจะไม่เป็นแบบนี้ สมัยแรกๆ ทำงานเหนื่อย ร้องห่มร้องไห้ อยากลาออก เราอยากได้ยินจาก
พ่อว่า “โถ ลูกพ่อน่าสงสาร ลาออกเลยลูก พ่อเลี้ยงได้ อยากได้ยินมาก แต่ไม่เคยมีคำนั้นเลย” แต่วันนี้
เมื่อทุกอย่างผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราขอบคุณและชื่นชมที่วันนั้นท่านไม่ตามใจเรา เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ชีวิตมันต้องสู้ ทุกคนเจออุปสรรคและปัญหาตลอด ไม่มีใครชีวิตดีไปหมด

 

คนที่ติดตามเราในรายการ มองเราเป็นไอดอล แต่ความจริงแล้วอยากให้คนรู้จักเราแบบไหน  

มีคำถามหนึ่งว่า คิดอย่างไรที่เขาบอกว่า สู่ขวัญสวย รวย เก่ง ก็อยากจะบอกว่า ไม่ได้เป็นคนสวย แต่เป็นคนรู้จักตัวเองมากกว่าว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา ถ้าแต่งตัวขึ้นมาก็ดูดี แต่ถ้าอยู่กับบ้านก็ไม่สวยเหมือนกัน คนก็ไม่เห็นด้านนั้น

 

ส่วนรวย ไม่ใช่ว่ารวยมากๆ เพียงแต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งแต่เรียนจบก็ทำงานมีรายได้มาตลอด 
ก็มีเงินเหมือนอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในธุรกิจสื่อมวลชนควรจะมี

 

เรื่องเก่ง ก็อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น และไม่เคยปิดบังเลย มันเกิดจากความพยายามอย่างมาก 
เบื๊อเบื่อเวลาครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็ไม่มีคำตอบ เคยตอบว่า อยากเป็นนักบินอวกาศ “เธอจะบ้าเหรอ” อ้าว ตอบก็ว่าอีก คือเด็กๆ ชอบมองพระจันทร์ อยากขึ้นไปอยู่บนพระจันทร์ เราก็แค่ตอบว่า เราอยากเป็นนักบินอวกาศ กลับมาบอกว่าเราบ้า แต่ถ้าให้เป็นอะไรที่จับต้องได้ เรานึกไม่ออก ไม่เคยอยาก
เป็นหมอ ไม่เคยอยากเป็นทนาย เลยอยากจะบอกทุกคนว่า เด็กๆ น้องๆ สิบกว่าขวบที่รู้สึกว่า “ทำไมหนูไม่รู้สึกว่ามีแพสชันกับอะไรเลยคะ ทำไมหนูไม่มี
เป้าหมายเหมือนเพื่อน หนูไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลย” นั่นไม่ผิด ไม่แปลก ไม่ต้องตกใจ แล้วคิดว่า ตัวเองเป็น loser อนาคตคงไม่มี

 

การจะให้เด็กสิบกว่าขวบตัดสินใจอนาคตตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย วุฒิภาวะเขายังไม่เต็ม ประสบการณ์ชีวิตเขายังไม่มีเลย บางทีมันเป็นคำถามที่ยากเกินไป

 

แล้วถ้าถามว่า ​“แล้วพี่ขวัญจะให้หนูทำอย่างไรละคะ หนูไม่รู้จะไปทางไหน” จะเรียนก็ยังไม่รู้จะเรียนอะไร จะต้องสอบเอ็นทรานซ์แล้ว ง่ายๆ เลย เอาอย่างนี้ อย่างน้อยตั้งใจเรียนวิชาที่โรงเรียน เอาให้มันดีที่สุด ถ้าวันนี้ยังได้เกรด 2 ลุยให้มันเป็นเกรด 4 ไหวไหม ขวัญคิดว่า บางทีสำหรับบางคน มองไกลมีประโยชน์ แต่สำหรับบางคน ในเมื่อมองไปไกลมองไม่เห็น 
มองใกล้จะมีประโยชน์กว่า

 

จะมีคำพูดบางคำว่า “มองตัวเอง 5-10 ปี ข้างหน้าอย่างไร” เราเข้าใจคำถามนี้นะ แต่เราไม่เคยใช้ชีวิตด้วยความคิดแบบนี้ ถ้าใครมีเป้าก็ลุยค่ะ แต่ถ้าวิถีชีวิตเป็นอีกแบบ แค่เราลุยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มันดีที่สุด อีก 10 ปี หันมาดู เราก็จะตอบได้ว่า วันนั้นทำดีที่สุดแล้วจริงๆ จากประสบการณ์ชีวิตของขวัญ ก็บอกได้แค่ว่า ผลของมันจะพาเราไปไกลกว่าที่จินตนาการของเราไปถึงด้วยซ้ำ

 

มันอาจเป็นเรื่องกึ่งธรรมะก็ได้ ที่บางทีเราชอบอยู่นิ่งๆ เงียบๆ แล้วมันทำให้เราได้คิด ได้สังเกตธรรมชาติ หรือการที่เราได้อยู่เงียบๆ กับตัวเอง พอมันไม่มีอะไรทำ มันก็คิด แต่ทีนี้การอยู่เงียบๆ กับตัวเอง ไม่ใช่การบังคับตัวเอง แต่มันเป็นความชอบของเรา นั่งดูโน่นดูนี่ มองโน่นมองนี่ เพราะเป็นเวลาเดียวที่เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ

 

สิ่งที่ทำมาตลอดพาเรามาถึงจุดที่เป็นที่นิยมชื่นชมของคนมากมาย

ขวัญไม่ยึดติดกับสิ่งนี้เลยค่ะ เพราะชื่อเสียงไม่ได้เป็นสิ่งที่อยากได้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่สิ่งที่เราหาในวัยนี้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ขอบคุณทุกคนที่ยอมรับ มีความสุขกับงานของเรา ที่ชอบเรา รักเรา แต่ยอมรับจริงๆ ว่า ตอนต้นที่มันเปรี้ยงปร้างและดังมาก เราถามตัวเองว่า “นี่คือสิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า” เพราะบางทีเราใช้ชีวิตประจำวันตามสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ตอบสนอง
มันโดยอัตโนมัติ จนทำให้เราหลุดออกจากสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ในชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะได้ถาม
ตัวเองว่า “นี่คือชีวิตที่เราต้องการหรือเปล่า”

 

แล้วสิ่งที่เรานำเสนอตอนทำรายการ ไม่คิด
เลยว่า จะมีคนตอบสนอง ซื้อของตามเราขนาดนี้ โดยเฉพาะเด็กๆ เราเลยไลฟ์หนหนึ่งว่า​“ฟังพี่ก่อน การซื้อของนี่ไม่สนับสนุนให้ฟุ่มเฟือยนะ ถ้ายังเรียนหนังสืออยู่ หรือเริ่มต้นชีวิตการทำงาน มีเงินเดือน 12,000-20,000 บาท ไม่สนับสนุนให้ฟุ่มเฟือยเลย แต่ถ้าอยากช้อปอย่างพี่ วันนี้เรียนหนังสือให้ดีที่สุด ทำงานให้ดีที่สุด” พอพูดไปก็มีคนถ่ายรูปตัวเองกำลังท่องหนังสือ “หนูจะตั้งใจเรียน” “วันหนึ่งหนูจะช้อปแบบพี่”​ “ฮึบๆ ตั้งใจทำงานค่ะ ของมันต้องมี” ก็แค่จุดนั้น ทำให้เรารู้สึกว่า โอเค ถ้าการมีอยู่ของเราวันนี้ เขาจะชื่นชอบเราด้วยอะไรก็แล้วแต่ พูดอะไรแล้วเขาฟัง เราก็จะพูดสิ่งที่อยากจะสื่อสารกับเขา ถือว่าอย่างน้อยการมีอยู่ของเรามีประโยชน์ เราก็จะอยู่

 

ยังมีอีกความคิดหนึ่งนะว่า เมื่อไรก็ตามที่เรา
ทำอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องงาน สิ่งที่เราทำ
ต้องตื่นเช้า ต้องใช้วันเวลา โดยที่เราไม่ได้อะไรเลย ยกเว้นเงิน เรามาผิดทาง แต่ถ้าถามเด็กตอนนี้ คงตอบว่าอยากทำอะไรที่เงินเยอะแน่นอน เพราะประสบการณ์ชีวิตเขายังน้อย แต่วันหนึ่งขวัญบอกได้เลยว่า เราอายุ 40 50 60 เรามีเงินแล้ว เพราะทำงานมาเยอะแล้ว แต่จะอยู่ได้ด้วยเรื่องอื่น การที่เราเห็นคุณค่าของ
ตัวเราเอง ด้วยความเคารพที่เรามีให้ตัวเอง ด้วยการที่เรายอมรับตัวตนของเราได้ ใครไม่ยอมรับตัวเรา
ไม่โหดร้ายเท่าเราไม่ยอมรับตัวเอง วันหนึ่งมอง
กลับมา “ทำไมเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่เคยทำอะไรที่ดีมีประโยชน์กับใครเลย” อันนี้อยู่ไม่ได้นะคะ

 

ไม่ใช่ทุกคนที่อายุเท่ากับคุณจะเข้าใจชีวิตได้ อะไรที่หล่อหลอมให้คุณเข้าใจชีวิตจนมีมุมมองเช่นนี้

มีคนเคยถามอย่างนี้หลายคน ขวัญก็ไม่รู้ แต่มันอาจเป็นเรื่องกึ่งธรรมะก็ได้ ที่บางทีเราชอบอยู่นิ่งๆ เงียบๆ แล้วมันทำให้เราได้คิด ได้สังเกตธรรมชาติ หรือการที่เราได้อยู่เงียบๆ กับตัวเอง พอมันไม่มีอะไรทำ 
มันก็คิด แต่ทีนี้การอยู่เงียบๆ กับตัวเอง ไม่ใช่การบังคับตัวเอง แต่มันเป็นความชอบของเรา นั่งดูโน่นดูนี่ มองโน่นมองนี่ เพราะเป็นเวลาเดียวที่เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ

 

จริงๆ จะมองในทางพุทธก็ได้ หรือเป็นเหมือนไอน์สไตน์ที่มีคำพูดที่ว่า ‘ให้พยายามหาเวลาที่จะ
อยู่กับตัวเองเงียบๆ เพราะเป็นเวลาเดียวที่เราได้
คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ’ แล้วอันนี้ฟังดูขำๆ ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม แต่ขวัญเป็นคนที่นั่งเฉยๆ ได้นานมาก คือตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ คุณแม่จะชอบเอาขวัญไปไหนมาไหนด้วย เพราะนั่งรอเฉยๆ ได้เป็นชั่วโมงๆ สมัยก่อนการที่เราอยู่เฉยๆ ได้นี่มันไม่มีอะไรให้ทำนะ ไม่มีเกม ไม่มีโทรศัพท์ สิ่งเดียวที่มันโลดแล่นได้คือ ในหัวคิดๆ มองคนคนนั้นทำอะไร คนนี้ทำอะไร นั่งเงียบๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น

 

 

คนเราควรจะมีเวลามองฟ้ามองพระจันทร์บ้าง

ใช่ค่ะ ขวัญพยายามสอนลูกแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้นะ เขาคงเด็กเกินไป เขาเล่นแต่เกม ตอนลูกยังเล็กๆ มีวันหนึ่ง เราแม่ลูกจูงมือกันออกไปเดินเล่นหน้าบ้าน เป็นที่โล่งๆ แล้วก็มีพระจันทร์ เราก็เดินกันไป แล้วเราก็บอกว่า 
“นั่นพระจันทร์”​ลูกก็บอกว่า “ทำไมแม่ต้องชี้พระจันทร์ตลอด”​ เราก็บอกว่า “ชอบดูพระจันทร์” เขาบอกว่า “แม่ๆ ถ้าโตขึ้นปราบจะเป็นนักบินอวกาศ” เราก็
ถามว่า “ทำไมล่ะลูก” เขาเลยบอกว่า “โตขึ้นปราบจะได้พาแม่ไปเที่ยวพระจันทร์ไง”

 

เราก็ถามเขาว่า “ปราบจำวันนั้นได้ไหม” ลูกบอกว่าจำได้ แม่รักวันนั้นมากเลย วันที่เราจูงมือกันแล้วก็ชี้พระจันทร์ แม่อยากให้ปราบมีช่วงเวลาแบบนั้นกับตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีอะไร มันทำให้ปราบสังเกตของที่อยู่รอบๆ หรือแม้กระทั่งสังเกตตัวเอง” เพราะไม่รู้ว่าจะแยกเขากับไอ้เครื่องโทรศัพท์อย่างไร ก็บอก
เขาว่า “วันนั้นแม่มีความสุข แม่ชอบนะ ที่เราได้ใช้เวลากับตัวเอง ขอให้ปราบเดินเล่นสบายๆ บ้าง” ไม่รู้
ว่าทำหรือเปล่า เดี๋ยวต้องเช็ก (หัวเราะ)

 

 

  
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X