เมื่อวานนี้ (23 เมษายน) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดห้องสนทนาทางแอปพลิเคชัน Clubhouse ชวนประชาชนร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ในหัวข้อ ‘สร้างพันธมิตร ประคองธุรกิจพ้นวิกฤต’ ต่อยอดจากการไลฟ์เฟซบุ๊กที่ธนาธรได้นำเสนอแนวคิดว่าด้วยการบริหารธุรกิจในสถานการณ์โควิด-19 ผ่านการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน
โดยในช่วงหนึ่ง มีประชาชนผู้ร่วมห้องสนทนาถามความเห็นของธนาธรเกี่ยวกับการบริหารจัดการของรัฐบาลในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สามในปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาทางการเมืองและทางออกที่ธนาธรคิดว่าเหมาะสมที่สุดในเวลานี้
ธนาธร ระบุว่า ในทางการเมือง หลายคนเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาเกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าต่อให้มีการยุบสภาเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม หากยุบสภาเวลานี้ กว่าที่จะได้รัฐบาลใหม่ขึ้นมาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน ในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ประเทศจะไม่มีรัฐบาลไม่ได้ แม้ว่าประชาชนจะไม่พอใจรัฐบาลในปัจจุบันก็ตาม
อีกทางเลือกหนึ่งที่ตนเห็นว่าเป็นไปได้และเหมาะสมมากกว่าคือการที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องลาออก ให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ารับตำแหน่งแทน ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่นี้ก็ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามีเพียงสองภารกิจเท่านั้นคือ
1. จัดการวิกฤตโควิด-19 ไม่ว่าจะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างวัคซีนเพิ่มและการบริหารจัดการการฉีดวัคซีน
2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะเข้ามาเพื่อจัดการปัญหาใหญ่สองเรื่องนี้เท่านั้น หลังจากจัดการปัญหาโควิด-19 และทำรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาแล้ว อาจจะกินเวลา 2 ปีพอดี จึงยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ตนคิดว่าสูตรนี้น่าจะดีกับประเทศมากกว่า คือแก้โจทย์ทั้งการเมืองและโควิด-19 ไปในคราวเดียวกัน เพราะแน่นอนที่สุดต่อให้แก้ปัญหาโควิด-19 จบ เราก็จะมาเจอกับดักการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้นักการเมืองฝ่ายอื่นเข้ามามีอำนาจได้อีก
“ดังนั้นผมคิดว่าถ้าคุณประยุทธ์ลาออกแล้วมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีภารกิจที่ชัดเจนสองภารกิจ คือจัดการโควิด-19 แล้วก็แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่ สร้างการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงได้ น่าจะดีที่สุด” ธนาธร กล่าว
นอกจากนี้ธนาธรยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนซักถามกับผู้ร่วมสนทนาในประเด็นเกี่ยวกับการทำธุรกิจและสภาวะเศรษฐกิจหลายคำถามด้วยกัน เช่น การเสนอแนวคิดว่าด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ การสร้างงานและเศรษฐกิจผ่านการนำความต้องการของสังคมมาเป็นอุปทาน เป็นต้น
ธนาธร ระบุว่า นี่เป็นช่วงเวลาโอกาสที่ดีมากของประเทศไทยที่จะลงทุนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องวินัยทางการคลังมากเกินไปนัก ดังจะเห็นได้ว่าวันนี้ไม่มีประเทศไหนบนโลกที่สนใจเรื่องวินัยทางการคลังแล้ว ทุกคนแข่งกันอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจหมด เช่น กรณีของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่อัดฉีดเงินลงไปแล้ว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเยียวยาโควิด-19 และกำลังจะออกงบประมาณอีก 2-3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ให้เกิดการแก้ปัญหาของสังคม เป็นต้น
ซึ่งตนเห็นว่าประเทศไทยเองก็ควรจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้นเช่นกัน แต่ส่วนตนแล้วอยากเห็นการลงทุนในสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากๆ เช่น ทุกวันนี้หลายพื้นที่ แม้ในระดับเทศบาลยังเข้าไม่ถึงน้ำประปาที่สะอาดและเพียงพอใช้ทั้งปี เรายังมีโรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากรและบุคลากรอีกมาก การคมนาคมขนส่งหลายจังหวัดยังไม่มีรถประจำทางที่ดี โรงคัดแยกและจัดการขยะส่วนใหญ่ในประเทศยังคงไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ
ตนกำลังพูดถึงอะไรที่เป็นคุณภาพชีวิตพื้นฐานจริงๆ ของประชาชนที่อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นในทางตรง แต่มันลดต้นทุนได้ ลดความเครียดในชีวิตได้ ทำให้ชีวิตของประชาชนถึงแม้จะต้องดิ้นรนทางเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
“ดังนั้นถ้าถามว่ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร ผมว่าเอาเม็ดเงินมาลงทุนกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นสวัสดิการที่คนไทยทุกคนควรจะได้รับมาเป็นสิบๆ ปีแล้วแต่ไม่ได้รับ ควรจะต้องทำตรงนี้ ซึ่งพวกนี้จะทำให้เกิดการจ้างงาน ถ้าคุณอัดเม็ดเงินเพิ่ม 1-2 ล้านล้านบาทเข้าไปทำสิ่งพวกนี้ สิ่งพวกนี้เป็น Local Content เกือบทั้งหมด หมายความว่ามูลค่ามันเกิดขึ้นในประเทศ เงินไม่ได้ไหลออกเพื่อไปนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ มันทำให้เกิดการจ้างงานแน่นอน และนี่คือสิ่งที่เราต้องการ คืองาน คือคุณภาพที่ดีของประชาชน” ธนาธร กล่าว
นอกจากนี้ธนาธรยังได้กล่าวถึงแนวคิดเพื่อการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ใช้โอกาสนี้ในการลงทุนฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่เคยเสื่อมโทรมมาก่อนหน้านี้ ทำให้พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวใหม่ได้อย่างน่าประทับใจกว่าเดิมเมื่อผ่านพ้นวิกฤตไปแล้ว รวมทั้งการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงไม่เป็นที่รู้จัก ซึ่งมีอยู่มากมายเต็มไปหมดในประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ตนยังมีแนวคิดว่าประเทศไทยจะต้องลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ใหม่ โดยเอาความต้องการที่มีอยู่ในประเทศอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศตลอด เช่น เรื่องของอุปกรณ์ทางการแพทย์ มาสร้างเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศไทยมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะลงทุนและสร้างให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า