×

“ใครไม่อาย (แฟนบอล)อาย” 2023 ปีแห่งวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ของฟุตบอลไทย

14.12.2023
  • LOADING...
ฟุตบอลไทย

“ใครไม่อาย ผมอาย”

 

นี่อาจเป็นประโยคคลาสสิกติดตัวของ พล.ต.อ. ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่เคยได้ลั่นวาจาวิจารณ์ผลงานของทีมฟุตบอลทีมชาติไทยยุค โค้ชซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เมื่อปี 2017 

 

วันเวลาผ่านไปร่วม 6 ปี ประโยคดังกล่าวหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คนพูดไม่ใช่ ‘สมยศ’ แต่เป็นแฟนบอลชาวไทยหลายชีวิตที่โยนวลี “ใครไม่อาย ผมอาย” กลับคืนไปหานายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

 

ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความย่ำแย่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผลงานในสนาม หากแต่สะท้อนถึงการบริหารที่หนักไปทางล้มเหลวโดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังของ 2023

 

THE STANDARD ถือโอกาสช่วงสิ้นปีเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลทีมชาติไทยตลอดปี 2023 มาให้แฟนลูกหนังได้อ่านกันแบบเต็มอิ่ม รวมถึงวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทยในอนาคตอันใกล้ หรือในปี 2024 ที่กำลังมีศึกชิงประมุขลูกหนังคนใหม่นั่นเอง

 

ฟุตบอลไทย

 

เปิดศักราช 2023 พร้อมแชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 

 

ทัพช้างศึกชุดใหญ่ประเดิมต้นปีด้วยการลงแข่งรายการฟุตบอลเอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คัพ 2022 หรืออาเซียนคัพ (เดิมทีแข่งลากยาวมาตั้งแต่ปลายปี 2022)

 

ซึ่งผลปรากฏว่า ทีมชาติไทยในการคุมทีมของ มาโน โพลกิง พาทีมทะลุสู่รอบชิงชนะเลิศ พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างเวียดนาม โดยเกมแรกแข่งกันที่มีดินห์สเตเดียม ทีมไทยกับเวียดนามของพัคฮังซอที่ประกาศคุมทัพดาวทองเป็นรายการสุดท้ายก่อนลาทีม เสมอกันก่อนนัดแรก 2-2 

 

จากนั้นนัดที่สองกลับมาเตะที่สนามธรรมศาสตร์สเตเดียม ทีมชาติไทยได้ ธีราทร บุญมาทัน ซัลโวระยะ 25 หลา บอลพุ่งเสียบเสาไกลอย่างสวยงาม พาให้ทีมไทยชนะเวียดนาม ด้วยสกอร์รวม 3-2 พร้อมชูถ้วยฉลองแชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 ต่อหน้าแฟนบอลร่วม 19,306 ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่

 

ฟุตบอลไทย

 

ซีเกมส์ 2023 กับแมตช์นัดชิงฯ สุดอัปยศ

 

ถัดมาเป็นการแข่งขันฟุตบอลในการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2023 ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งรายการนี้จะเป็นการใช้นักเตะทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี (U23) โดยมี โค้ชหระ-อิสสระ ศรีทะโร เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน

 

ระหว่างทัวร์นาเมนต์ ในรอบแบ่งกลุ่มทีมชาติไทยที่ดูเหมือนจะยังประสบปัญหาเรื่องความพร้อม ความฟิตของนักเตะอยู่บ้าง แต่ยังสามารถเอาตัวรอดด้วยการจบอันดับที่ 1 ของกลุ่ม (กลุ่ม B) ผ่านเข้ารอบรองฯ (4 ทีมสุดท้าย) ได้สำเร็จ

 

รอบ 4 ทีมสุดท้ายทีมไทยผ่านเมียนมาได้แบบสบายมือกับสกอร์ 3-0 พร้อมเดินหน้าเข้าชิงฯ เหรียญทองกับอินโดนีเซีย ที่หักด่านเวียดนามมา 3-2

 

รอบชิงชนะเลิศเกมดำเนินไปตามปกติ และเสมอกันในเวลา 90 นาทีที่ 2-2 ต้องไปต่อเวลาพิเศษตัดสิน 

 

ทว่าในช่วง 30 นาทีนี้เองที่บทดราม่าได้เริ่มขึ้น เมื่อเกมช่วงต่อเวลาพิเศษเริ่มมาได้ไม่ถึงนาที ฝั่งอินโดนีเซียมายิงแซงนำ 3-2 ซึ่งสถานการณ์ในสนามอาจดูปกติ แต่ไม่ใช่กับข้างสนาม เมื่อสตาฟฟ์โค้ชของไทยและอินโดนีเซียเกิดทะเลาะกัน และในช็อตเดียวกัน โสภณวิชญ์ รักญาติ ผู้รักษาประตูของไทยที่ไปเล่นนอกเกมใส่ผู้เล่นอินโดนีเซีย ทำให้ทีมไทยเหลือ 10 คน (เช่นเดียวกับนักเตะอินโดนีเซียที่โดนใบแดง 1 คน)

 

หลังจากนั้นเกมในสนามเต็มไปด้วยความวุ่นวายและอารมณ์ที่เดือดดาล โดยทีมไทยมาเหลือผู้เล่น 9 คน โจนาธาน เข็มดี ไปทำฟาล์วใส่ผู้เล่นอินโดนีเซียโดนใบเหลือง 2 ใบ เป็นใบแดงออกจากสนามไปอีกคน และอินโดนีเซียก็มายิงนำห่างเป็น 4-2

 

เคราะห์ร้ายยังไม่หมด ทีมไทยมาเสีย ธีรศักดิ์ เผยพิมาย จากการโดนใบเหลืองที่ 2 อีกคน ทำให้ช่วงท้ายทีมไทยเหลือผู้เล่น 8 คน บวกกับมีผู้เล่นเจ็บอีกคนซึ่งหมดโควตาเปลี่ยนตัวแล้ว ทำให้ในสนามตอนไหนเหลือผู้เล่นไทยเพียง 7 คน 

 

ก่อนโดนยิงตอกฝาโลงในนาทีที่ 119 จาก เบ็คแฮม ปุตรา และทำให้จบเกมทีมไทยพ่ายให้กับอินโดนีเซียแบบย่อยยับ 2-5 คว้าเหรียญเงินมาเป็นรางวัลปลอบใจ

 

หลังจากจบรายการนี้ เหตุการณ์ดราม่าท้ายเกมที่เกิดขึ้นถูกหยิบไปพูดถึงในกระแสลบบนโลกออนไลน์จำนวนมาก ก่อนที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะจัดการลงโทษพักงาน 3 สตาฟฟ์โค้ชเป็นเวลา 1 ปี ด้านโสภณวิชญ์และธีรภักดิ์ถูกแบน 6 เดือน กรณีใช้ความรุนแรงในนัดชิงฯ​ ซีเกมส์ครั้งนี้

 

ฟุตบอลไทย

 

อลหม่านมูลค่าลิขสิทธิ์ไทยลีก 1,000 ล้าน เหลือ 50 ล้านบาท!

 

ตัดเลี่ยนกับวงการบอลทีมชาติไทยด้วยประเด็นที่ทำให้แฟนบอลพากันเอามือทาบอกแบบไม่ได้นัดหมาย นั่นคือเรื่องของมูลค่าลิขสิทธิ์ไทยลีก ที่ช่วงเวลาหนึ่งเคยขึ้นไปสูงถึงปีละ 1,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมูลค่านั้น หล่นมาเหลือเพียง 50 ล้านบาทต่อ 1 ฤดูกาล จนทำให้เกิดปัญหาไร้แพลตฟอร์มใหญ่มายื่นซื้อลิขสิทธถ่ายทอดสด ทั้งที่ฟุตบอลลีกใกล้จะเปิดฤดูกาลแล้ว

 

เหตุการณ์นี้เป็นปัญหาที่ถูกซุกใต้พรม และในที่สุดมันถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนในปีนี้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงกับบรรดาทีมใหญ่ในไทยลีก 1 ไปจนถึงทีมในระดับลีกรองลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นมีปัจจัยเกี่ยวข้องจากหลายองค์ประกอบ ทั้งวิกฤตโควิดช่วงที่ผ่านมา, เสน่ห์ความน่าสนใจของฟุตบอลลีกอาชีพไทยที่ลดลง และแนวทางการบริหารที่เมื่อผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันมีปัญหาจริงๆ

 

ประเด็นนี้นำไปสู่การเสนอทางออกจากบรรดาทีมจากไทยลีก 1 นั่นคือการขอแยกตัวไทยลีก 1 ออกจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อออกมาตั้งบริษัทใหม่และดูแลสิทธิประโยชน์ด้วยตัวเอง คล้ายกับที่พรีเมียร์ลีกอังกฤษเคยทำ

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยังไม่ไฟเขียวให้เกิดขึ้นในทันที หากแต่มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษารายละเอียดและพิจารณาแนวทางการแยกตัวไทยลีก 1 ออกจากสมาคมฯ

 

ขณะที่บทสรุปเรื่องการถ่ายทอดสด รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 ที่คาราคาซังอยู่นานก็ทำให้ได้แนวทางใหม่ นั่นคือการได้ 3 แพลตฟอร์มใหญ่ของประเทศไทย รับหน้าที่ถ่ายทอดสดการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย AIS PLAY, TrueVisions (TrueVisions NOW) และ 3BB GIGATV 

 

พร้อมมอบสิทธิ์ให้สโมสรไทยลีก 1 นำสัญญาณไปถ่ายทอดในช่องทางของสโมสร หรือเผยแพร่เพื่อสร้างรายได้ในการสนับสนุนสโมสร แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่สมาคมฟุตบอลไทยฯ กำหนด

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ฟุตบอลไทย

 

ระเบิดเวลาเสียงดัง ‘ตู้มมม!’ ในวันที่ไทยบุกแพ้จอร์เจียยับ 0-8

 

ระยะทางจากศึกชิงแชมป์อาเซียน > คิงส์คัพ ครั้งที่ 49 > โปรแกรมฟีฟ่าเดย์เดือนตุลาคม มีเวลาให้ มาโน โพลกิง (กุนซือในเวลานั้น) รวมถึงทีมงานและทีมบริหารที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวเตรียมทีมนานถึง 10 เดือนเต็ม ภายใต้ความคาดหวังจากแฟนบอลไทยที่ตั้งตารอจะได้นักเตะชุดใหญ่ถูกเรียกมาเข้าแคมป์ทีมชาติ เพื่อเตรียมทีมลุยรายการใหญ่ที่คนทั้งชาติรอคอยอย่างฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดบอลโลก โซนเอเชีย

 

อีกทั้งโปรแกรมอุ่นแข้งทัวร์ยุโรป 2 นัด (จอร์เจียและเอสโตเนีย) ถูกคอนเฟิร์มคิวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

 

ทว่าทุกอย่างกลับพังลงไม่เป็นท่า มาโนและทีมชาติไทยไม่อาจพานักเตะกำลังหลักบินไปอุ่นเครื่องที่ยุโรปตามความคาดหวัง เหตุเพราะนักเตะบางส่วนมีอาการบาดเจ็บ และหลายคน ‘ติดภารกิจ’ รับใช้สโมสร 

 

สิ่งที่มาโนทำได้ดีที่สุดในเวลานั้นคือการเรียกเด็กๆ ชุด U23 เข้ามาเสริมทัพในช่วงเวลาที่แสนสั้น เพื่อผสมโรงกับผู้เล่นชุดใหญ่บางส่วน ที่ต้นสังกัดไทยลีกบางทีมใจดีส่งมาให้ทีมชาติได้ใช้งาน

 

สวนทางกับคู่แข่งที่มีคิวอุ่นเครื่องนัดแรกอย่างจอร์เจีย ที่เรียกผู้เล่นตัวหลักมาอย่างครบครัน ทั้ง ควิชา ควารัตสเคเลีย ดาวเตะคนดังจากนาโปลี, จอร์จ มิเคาตาดเซ กองหน้าของอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม และอีกหลายคนที่แม้จะไม่คุ้นชื่อ แต่ฝีเท้านั้นจัดจ้านตามแบบฉบับลูกหนังยุโรป

 

ผลที่ออกมาคือ ทีมไทยถูกจอร์เจียถลุงในครึ่งแรก 6-0 และมาบวกในครึ่งหลังอีก 2 ลูก ท้ายที่สุดเกม 90 นาทีจบลงที่สกอร์ ‘จอร์เจีย 8-0 ไทย’ 

 

หลังจบแมตช์นี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของแฟนบอลชาวไทยดังทะลุโลกโซเชียลออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ต่างจากเสียงระเบิดเวลาที่มันถึงจุดที่ต้องระเบิดตัวเอง

 

ภาพรวมเสียงวิจารณ์ของปัญหานี้ไม่ได้ไปตกอยู่ที่ทีมงานสตาฟฟ์หรือนักเตะที่บินไปอุ่นเครื่องครั้งนี้ หากแต่เป็นผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลไทยฯ รวมถึงบริษัทไทยลีกในฐานะผู้ออกโปรแกรมแข่งขันฟุตบอลลีก และโดยเฉพาะ พล.ต.อ. ดร.สมยศ ที่ถูกแซวว่าเป็นนายกฟุตบอลปล่อยจอย ต้องรับเสียงเหล่านี้ไปเต็มๆ

 

กับคำถามที่ว่า เมื่อไรการบริหารจัดการโปรแกรมในระดับสโมสรและทีมชาติจะสอดคล้องและเดินหน้าไปพร้อมกันเสียที!?

 

และมันถึงเวลาหรือยังที่ผู้บริหารไทยลีกหรือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องควรหาเวลาสะสางปัญหานี้อย่างจริงจัง ทำให้โปรแกรมสโมสรและทีมชาติอยู่ในจุดที่ลงตัวและเกื้อกูลต่อกัน เพื่อให้สโมสรสามารถปล่อยนักเตะเข้าแคมป์ทีมชาติอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ฟุตบอลไทย

 

Good Bye Mano, Welcome Ishii 

 

ท่ามกลางแรงแค้นของแฟนบอลที่มีต่อสมาคมฯ วันเวลาล่วงเลยมาถึงรายการ ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดบอลโลกโซนเอเชีย (รอบที่ 2) และหนนี้ มาโน โพลกิง ได้ผู้เล่นกำลังหลัก (อย่างที่ควรจะได้ตั้งแต่ช่วงอุ่นเครื่องที่ยุโรป) พร้อมไฮไลต์สำคัญคือการได้กลับไปเล่นในสนามราชมังคลากีฬาสถานในรอบ 5 ปีของทัพช้างศึก

 

แต่ปรากฏว่าทีมชาติไทยลงเล่นเกมนัดนี้ได้ไม่สมความคาดหวังของแฟนๆ เท่าไรนัก แม้มีช่วงที่ได้ออกนำ 1-0 จากลูกยิงสุดสวยของ สารัช อยู่เย็น แต่หลังจากนั้นทีมชาติจีนสามารถยิงแซงได้ 2 ประตูรวด และยันจบเกมด้วยการบุกมาชนะไทย 2-1 พร้อมชิง 3 แต้มติดมือออกไป

 

ถึงตรงนี้ความเชื่อมั่นในตัวมาโนของแฟนบอลจำนวนไม่น้อยเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ แม้นัดที่ 2 ทีมไทยจะบุกไปพิชิตสิงคโปร์ 3-1 และเก็บ 3 แต้มสำคัญมาพร้อมขยับขึ้นที่ 2 ของกลุ่ม C 

 

แต่ฟางเส้นสุดท้ายได้มอดดับลงไปแล้ว เพราะหลังกลับถึงไทยไม่กี่ชั่วโมง มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทัพช้างศึก ออกแถลงการณ์ประกาศแยกทางกับ มาโน โพลกิง อย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผลงานในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ไม่เป็นไปตามเป้า’ 

 

พร้อมกันนั้น มาดามแป้งประกาศแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ทันที 

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาของแฟนบอลที่มีต่อฟุตบอลทีมชาติไทย มาดามแป้งมองว่า ‘อิชิอิคือคนที่ใช่’ ในการกอบกู้ผลงานรวมถึงความเชื่อมั่นของแฟนบอลไทยให้กลับมาอย่างดังเดิม

 

“ด้วยเงื่อนไขเวลาที่จำกัด ก่อนถึงเอเชียนคัพรอบสุดท้ายที่กาตาร์ในเดือนมกราคม 2024 และคัดบอลโลกที่เหลืออีก 4 นัด เราต้องเลือกโค้ชที่รู้จัก คุ้นเคย และมีข้อมูลผู้เล่นทีมชาติไทยมากที่สุด รวมถึงโค้ชอิชิอิยังมีประสบการณ์และผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ในระดับเจลีก ไทยลีก รวมถึงบนเวทีฟุตบอลระดับชิงแชมป์สโมสรโลกด้วย และที่สำคัญ ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศต้นแบบในเชิงฟุตบอลของเอเชีย และอยู่ในอันดับท็อป 20 ของโลก

 

“ดังนั้นเชื่อว่าโค้ชอิชิอิคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ และแป้งพร้อมสนับสนุนการทำงานอย่างเต็มที่” มาดามแป้งกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การโดดกลับมารับเผือกร้อนของอิชิอิหนนี้จะไม่ใช่งานง่ายอย่างที่เขาเคยทำครั้งเมื่ออยู่กับสมุทรปราการ ซิตี้ รวมถึงบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เขาพาทัพปราสาทสายฟ้าคว้าทริปเปิลแชมป์ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน

 

เพราะโปรแกรมช่วง 5 นัดแรกอย่างเป็นทางการของอิชิอินั้นจัดว่าปราบเซียนไม่น้อย ไล่ตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติญี่ปุ่นในวันที่ 1 มกราคม 2024 ก่อนจะกลับมาเล่นในศึกเอเชียนคัพ ช่วงวันที่ 12 มกราคม ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2024 โดยทีมชาติไทยจะเริ่มเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม (กลุ่ม F) กับทีมชาติคีร์กีซสถาน, โอมาน และซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างวันที่ 16-25 มกราคม 2024 

 

ส่วนโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย (กลุ่ม C) นัดที่ 3 จะกลับมาเตะในวันที่ 21 มีนาคม 2024 โดยทีมชาติไทยจะบุกไปเยือนทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นโปรแกรมเดือดต้นปีที่น่าจะท้าทายอิชิอิอยู่ไม่น้อย

 

ฟุตบอลไทย

 

2024 ศึกชิงประมุขลูกหนังไทยคนใหม่

 

เป็นหนึ่งในอีเวนต์ใหญ่ของวงการฟุตบอลไทยที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นั่นคือการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ หลังจาก พล.ต.อ. ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2024 ประกาศเตรียมวางมืออย่างเป็นทางการ โดยจะไม่ลงสมัครชิงนายกสมาคมฯ​ เป็นสมัยที่ 3

 

โดยปัจจุบันมี 4 แคนดิเดตหลักๆ ที่มีข่าวปรากฏตามหน้าสื่อ และเดินทางไปยื่นใบสมัครชิงนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

คนแรกคือ มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่ได้เปิดตัวและเดินทางไปหย่อนใบสมัครด้วยตัวเอง ที่มีเอกสารรับรองการยื่นสมัครจากสโมสรสมาชิกมากถึง 65 ทีม และก่อนหน้านั้นได้เปิดตัวทีมสภากรรมการทั้ง 18 คน นำโดย ปวิณ ภิรมย์ภักดี (ประธานสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด), อรรณพ สิงห์โตทอง, ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน 

 

พร้อมได้ เนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ภายใต้สโลแกน ‘Better Together: Team Thailand บอลไทยรวมใจ พัฒนาไปด้วยกัน’ 

 

คนที่ 2 คือ วรงค์ ทิวทัศน์ อดีตเลขานุการฝ่ายจัดการแข่งขัน บริษัท ไทยลีก จำกัด พร้อมทีมงานบางส่วนอย่าง ธีรณา เศรษฐสมภพ, ดร.วิศิษฐ์ กาญจโนภาศ ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อในวันยื่นใบสมัครชิงนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กับสโลแกน ‘Get It Right’ 3 ประเด็นใหญ่ที่ต้องแก้ โครงสร้าง-มูลค่า-ความถูกต้อง

 

คนที่ 3 คือ พอลลีน งามพริ้ง อดีตประธานเชียร์ไทยพาวเวอร์ พร้อมทีมงานบางส่วน เช่น พีรพล เอื้ออารียกูล พิธีกรรายการกีฬา และ เฉลิมวุฒิ สง่าพล กับ พิชัย คงศรี สองอดีตนักเตะทีมชาติไทย ได้ร่วมเดินทางมาพบปะกับสื่อมวลชนและยื่นใบสมัครไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมชูจุดเด่นของทีมว่า “พร้อมทำงานจริง ไม่ใช่รอเข้าประชุมเพียงอย่างเดียว”

 

คนที่ 4 คือ ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ได้ส่ง โค้ชอาร์ท-สาวิน จรัสเพชรานันท์ โค้ชทีมฟุตบอลหญิงไทย เป็นตัวแทนในการยื่นเอกสารสมัครชิงนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในครั้งนี้

 

คนที่ 5 คือ สุรชัย นิวาสพันธุ์ อดีตนักฟุตบอลและโค้ช ที่ปัจจุบันทำอาชีพเป็นทนายความ

 

และคนที่ 6 คือ คมกฤช นภาลัย อดีตผู้สื่อข่าวกีฬาชื่อดัง เจ้าของนามปากกา ‘อ๋อ วังโอ่ง’ นับเป็นผู้สมัครคนสุดท้ายของการชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หนนี้

 

โดยกำหนดการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ปีหน้า และไม่ว่าผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร แต่สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงของวงการบอลไทยมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว 

 

แต่จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ท้ายปี 2024 เราจะมาถอดบทเรียนกันอีกครั้ง 🫡

 

ถึงตรงนี้เชื่อว่า…แฟนบอลไทยไม่เคยรู้สึกอายกับนักเตะไทยในนามทีมชาติ เพราะนักเตะทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว

 

หากแต่เป็นความ ‘อาย’ ที่มีต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการของบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จนทำให้แฟนบอลไม่มีโอกาสได้เห็นฟุตบอลทีมชาติไทย หนึ่งใน ‘กีฬามหาชน’ มีศักยภาพสูงอย่างควรจะเป็น

 

ท้ายที่สุดในฐานะคนไทยที่ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอล เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเริ่มต้นใหม่กับหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ ทีมสตาฟฟ์โค้ชคนใหม่ รวมถึงใครก็ตามที่จะชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกสมาคมฯ คนใหม่ ช่วยเข้ามาแก้ไขจุดผิดพลาด ชุบชีวิตบอลไทย กอบกู้ศรัทธาแฟนบอล และทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกเสียดายกับความรู้สึกที่ว่า บอลไทยควรไปได้ไกลกว่านี้

 

เพราะเราไม่อยากรู้สึก ‘อาย’ อีกต่อไปแล้ว

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising