×

โรงเรียนไทย ‘ดับ’ แต่นานาชาติ ‘บูมพันล้าน!’ เปิด ‘ดีลลับ’ ตระกูลดัง ไขรหัสฮิต พ่อแม่ยอมจ่ายหลักล้าน

07.02.2025
  • LOADING...
โรงเรียนนานาชาติ

HIGHLIGHTS

  • ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติมูลค่า 8 หมื่นล้านบาทโตแรง! เมื่อพ่อแม่ยอมจ่าย แม้ค่าเทอมแพงตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน แลกกับคุณภาพการศึกษา และซื้อสังคมให้ลูก สวนทางกับโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนหลักสูตรไทยที่เริ่มปิดตัวลง 
  • สถาบันสอนภาษาชี้ ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ยิ่งได้ 2-3 ภาษายิ่งได้เปรียบบนเวทีโลก โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนสอนภาษาจึงได้รับความนิยม 
  • ส่องตระกูลใหญ่ที่มีโรงเรียนนานาชาติอยู่ในพอร์ตธุรกิจ บางเจ้าเดินหน้าลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หวังดึงทั้งลูกคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนกำลังซื้อสูงเริ่มนิยมส่งลูกมาเรียนในไทย

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวและหันมาจับตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นคือ ‘โรงเรียนนานาชาติ’ ซึ่งกำลังเฟื่องฟูสวนทางกับโรงเรียนไทยทั่วไป

 

ในปี 2567 โรงเรียนนานาชาติขยายตัวถึง 5% สะท้อนความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการมอบการศึกษาคุณภาพสูงระดับสากลแก่บุตรหลาน ทั้งชาวไทยที่มองหาการศึกษาด้านภาษาและระบบที่แตกต่าง รวมถึงชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาเรียนในไทย ทำให้โรงเรียนนานาชาติกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา

 

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกปรากฏการณ์โรงเรียนนานาชาติบูม สำรวจเหตุผลที่ธุรกิจนี้เติบโต กลุ่มเป้าหมายที่ยอมจ่ายค่าเทอมสูง และส่องอาณาจักรโรงเรียนนานาชาติของตระกูลดัง พร้อมไขข้อสงสัยว่าทำไมธุรกิจนี้ถึงกลายเป็นดาวรุ่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อไปในอนาคต

 

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ฉายภาพกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเด็กเกิดน้อยทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงที่อยู่อาศัยต่างๆ หากพิจารณาจากการซื้อ-ขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสองเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อนหน้านี้เคยพัฒนาแต่โครงการที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดก็ต้องหาโอกาสไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นคือการลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว 

 

หากสังเกตจะเห็นว่าปี 2567 การขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้น 5% ที่ผ่านมากลุ่มทุนใหญ่ๆ ประกาศลงทุนพัฒนาโรงเรียนนานาชาติของรายใหญ่ๆ หลายโครงการ ทั้งในรูปแบบการไปซื้อกิจการหรือเข้าร่วมทุน และการลงทุนดังกล่าวจะเลือกเปิดในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด

 

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติบูม พ่อ-แม่ยอมจ่ายแม้ค่าเทอมแพง

 

โดยกลุ่มเป้าหมายของโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย แม้วันนี้ครอบครัวคนไทยจะมีลูกกันลดน้อยลง แต่คนที่มีลูกแล้วก็อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีโดยเฉพาะในเรื่องของภาษาต่างประเทศ การเรียนในอีกระบบที่แตกต่างจากการเรียนการสอนแบบพื้นฐานในประเทศไทย 

 

รวมถึงชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติในจีนติดปัญหาหลายอย่าง ทั้งในแง่ของหลักสูตรและค่าใช้จ่ายที่ไม่ตอบโจทย์ จึงนิยมส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยแทน 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

นอกจากจีนแล้วยังมีประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่นิยมส่งบุตรหลานมาเรียนในประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าตลาดโรงเรียนนานาชาติมีโอกาสการเติบโต เนื่องจากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง ต้องการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาให้กับลูกหลาน เพราะทุกวันนี้บริบทเปลี่ยนไป พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ได้เรียนกับเจ้าของภาษาจริงๆ

 

แม้ต้องจ่ายค่าเทอมตั้งแต่ระดับแสนบาทขึ้นไปจนถึงหลักล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับไปเรียนที่ต่างประเทศค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าเป็นเท่าตัว ดังนั้นโรงเรียนนานาชาติจึงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ และยิ่งในวันนี้โรงเรียนนานาชาติไทยก็มีมาตรฐานเดียวกันกับทั่วโลกแล้ว

 

ส่องตระกูลใหญ่เจ้าของโรงเรียนนานาชาติ

 

สุรเชษฐยังให้ข้อมูลอีกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีตระกูลไหนบ้างที่มีโรงเรียนนานาชาติเป็นของตัวเอง เริ่มจาก

 

  1. กลุ่มธนาคารกรุงเทพของตระกูลโสภณพนิช นอกจากธนาคารกรุงเทพแล้วยังลงทุนในโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีเพื่อรองรับรายได้จากการศึกษา และซื้อโรงเรียนนานาชาติบางแห่งเข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจ

 

  1. กลุ่มสยามกลการ โดยครอบครัวพรประภา ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีการประกาศแผนการลงทุนเปิดโรงเรียนนานาชาติ ด้วยการดึงโรงเรียนนานาชาติไฮเกตจากสหราชอาณาจักรมาเปิดในประเทศไทย โดยจะเปิดในจังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนสิงหาคม 2569 

 

  1. กลุ่มซีพีของตระกูลเจียรวนนท์ โดยหนึ่งในธุรกิจในประเทศไทยที่เปิดมามากกว่า 20 ปีคือ โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน แต่เป็นเพียงการลงทุนส่วนตัวของ ‘วรรณี เจียรวนนท์ รอสส์’ ที่เป็นผู้ก่อตั้ง

 

  1. กลุ่มธุรกิจบีทีเอสของตระกูลกาญจนพาสน์ โดย คีรี กาญจนพาสน์ ใช้ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือร่วมทุนกับทาง บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง เปิดให้บริการโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ เมื่อปี 2563

 

  1. กลุ่มสหพัฒน์ของตระกูลโชควัฒนา เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจการศึกษา โดยขอเข้ามาถือหุ้นโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ เมื่อปี 2563 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์

 

  1. กลุ่มปาลเดชพงศ์ ผู้ก่อตั้งเด่นหล้ากรุ๊ป โรงเรียนเด่นหล้าเปิดมานานเกิน 10 ปีแล้ว และได้ลงทุน 600 ล้านบาท เปิดโรงเรียนนานาชาติ DLTS เพื่อต่อยอดจากธุรกิจโรงเรียนของตนเองและรองรับความต้องการโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น

 

  1. บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด และ บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของสองพี่น้องตระกูลธรรมวัฒนะ ร่วมกันลงทุน 1.2 พันล้านบาท เปิดโรงเรียนไทยอินเตอร์เนชั่นแนลสกูล นำทัพการบริหารโดย มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ ที่มีประสบการณ์การบริหารโรงเรียนสาธิตเกษตรนานาชาติมานานกว่า 17 ปี

 

  1. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มอัสสกุล นอกจากจะมีธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตแล้วยังมีการลงทุนโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ที่เขาใหญ่และกรุงเทพฯ

 

  1. บริษัท อาร์ทูดีวัน จำกัด ที่มี เพ็ญศิริ ทองสิมา เป็นผู้บริหาร เปิดโรงเรียนนานาชาติเบซิส บนถนนพระราม 2 โดยร่วมมือกับ บริษัท บีไอเอสบี จำกัด จากสหรัฐอเมริกา ด้วยเงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท  

 

  1. บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ของตระกูลเตชะอุบล มีการออกข่าวว่าจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนถนนพระราม 3 ด้วยเงินลงทุนทั้งโครงการประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยมีส่วนหนึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติพระราม 3 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการเปิดโรงเรียน Oxford International College Brighton ที่อังกฤษ ร่วมกับ Nord Anglia Education 

 

สุรเชษฐย้ำว่า ในปีนี้อาจมีนักลงทุนหรือบางตระกูลที่มีแผนจะพัฒนาโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจรอการเจรจาเพื่อความร่วมมือบางอย่างอยู่จึงยังไม่ประกาศออกมา 

 

ยิ่งเก่งภาษายิ่งได้เปรียบบนเวทีโลก

 

เช่นเดียวกับ วอลเตอร์ ลี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ พัฒนา และประธานกลุ่มบริษัทจื้อ-เล่อ แสดงความเห็นกับ THE STANDARD ว่า ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองหลายๆ คนอยากให้บุตรหลานเข้าถึงการเรียนรู้ด้านภาษามากขึ้น ยิ่งถ้าได้ 2-3 ภาษาขึ้นไปจะมีโอกาสในเส้นทางการทำงานมากกว่า ทำให้โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนสอนภาษาเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้ปกครอง

 

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาที่มีคุณภาพในไทยมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงทำให้เข้าถึงได้แค่กลุ่มที่มีกำลังซื้อเท่านั้น จากปัจจัยดังกล่าวทำให้กลุ่มบริษัทจื้อ-เล่อ เปิดโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ ศิริเพ็ญ พัฒนา บนถนนรามคำแหง เป็นโรงเรียนแห่งแรกของโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ พัฒนา โดยในปีการศึกษา 2568 เปิดรับเด็กอายุ 2-11 ขวบ เน้นสอนหลักสูตรสามภาษา ไทย อังกฤษ และจีน ในราคาที่เข้าถึงได้ 

 

“เชื่อว่าทักษะของการเรียนหลายภาษาจะช่วยให้นักเรียนสามารถออกไปแข่งขันบนเวทีโลกได้ ท่ามกลางโลกการทำงานที่มีการแข่งขันสูง”

 

โรงเรียนไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

ทั้งหมดสอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ระบุว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังคงเติบโตสวนทางกับภาพรวมจำนวนนักเรียนและโรงเรียนในไทยที่มีการหดตัวตามแนวโน้มของสถิติการเกิดที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ปกครองที่มีศักยภาพให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการศึกษามากขึ้น ทำให้ความนิยมโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

 

สะท้อนจากตัวเลขจำนวนนักเรียนของโรงเรียนนานาชาติเติบโตเฉลี่ย 6.9% ต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2567 ตลาดโรงเรียนนานาชาติมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อนหน้า จากจำนวนนักเรียนและโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเล่าเรียนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น 

 

 

นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดในเมืองหลวงและการแข่งขันของจำนวนโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่เริ่มหนาแน่น โดยตลาดใหม่ที่น่าสนใจคือในหัวเมืองหลัก เช่น ระยอง เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่เริ่มมีศักยภาพ และมีจำนวนครัวเรือนรายได้เกิน 1 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไปมากขึ้น 

 

เรียกได้ว่าการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติสวนทางกับโรงเรียนในไทย โดยปี 2567 ลดลงถึง 0.5% หรืออยู่ที่ 33,098 โรงเรียน เนื่องจากจำนวนนักเรียนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 มีโรงเรียนบางแห่งต้องปิดตัวลงทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย

 
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising