บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน โดยมียอดขายรวม 34,501 ล้านบาท ได้แรงหนุนหลักจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง ขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 4,127 ล้านบาท
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของบริษัท ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยไทยยูเนี่ยนยังคงเห็นสัญญาณการเติบโต ทั้งในด้านปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 19% ซึ่งสะท้อนว่ากลยุทธ์ของบริษัทกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ในไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 6,549 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไตรมาสที่มีกำไรขั้นต้นสูงเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยังทำผลงานโดดเด่น โดยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับอานิสงส์จากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 18.5–19.5%
ขณะเดียวกัน บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ Transformation อย่างต่อเนื่อง ภายใต้โปรเจกต์ Sonar และ Tailwind ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันกลยุทธ์สู่เป้าหมายปี 2573 โดยยอมรับว่าค่าใช้จ่ายจากโครงการเหล่านี้ยังมีผลกระทบต่อกำไรในระยะสั้น แต่คาดว่าจะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ไทยยูเนี่ยนยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างการบริหารงานเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพการจัดการต้นทุนในทุกมิติ ตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายสุทธิรวม 118 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2570
ในด้านการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจหลัก บริษัทระบุว่า ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายลดลง 3.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน แม้ปริมาณการขายจะทรงตัว
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายเติบโต 5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ 13.8% ได้แรงหนุนจากยอดขายในหลายตลาด โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์น้ำที่เติบโตทั้งยอดขายและปริมาณ
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายเติบโต 6.2% ในสกุลเงินบาท และ 14.2% ในสกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป
พร้อมย้ำว่า ไทยยูเนี่ยนจะยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เสริมศักยภาพธุรกิจหลัก และต่อยอดพอร์ตแบรนด์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน


