ดัชนีหุ้นไทย (SET) ปรับตัวขึ้นโดดเด่น โดย หุ้นไทย สามารถทะลุขึ้นมายืนเหนือ 1,700 จุด สูงสุดในรอบ 2.5 ปี จากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิถึง 5.3 หมื่นล้านบาท รองมาคือ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ซื้อสุทธิ 4.3 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อยขายสุทธิ 3.2 หมื่นล้านบาท และ 2.6 หมื่นล้านบาทตามลำดับ
ทั้งนี้ แรงซื้อส่วนใหญ่อยู่ในหุ้น SET50 โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL, SCB) ไอซีที (ADVANC, TRUE, DTAC) พลังงาน (PTT, PTTEP, OR) และพาณิชย์ (CRC, MAKRO)
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ต่างชาติโหมซื้อหุ้นไทย ไตรมาสแรกไหลเข้าสุทธิ 1 แสนล้านบาท กูรูเชื่อแนวโน้มยังซื้อต่อเนื่อง
- จับสัญญาณ ‘หุ้นไทย’ กับ 4 เหตุผล โอกาสเกิด Window Dressing ในไตรมาสแรกปีนี้
- ‘หุ้นไทย’ การฟื้นตัวยังเปราะบาง กังวลเศรษฐกิจชะลอตัวและโควิดกลับมาแพร่ระบาดในเอเชีย
ด้านแนวโน้มข้างหน้า คาด SET ยังเคลื่อนไหวผันผวน และมีโอกาสชะลอตัวบ้างจากปัจจัยภายนอก แต่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้จากกระแส Fund Flow ที่ช่วยประคองดัชนี
โดยค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบกว่า 6 เดือน และแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้มองว่าแม้ปัจจัยภายนอกยังไม่ชัดเจน เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และท่าทีของ Fed ในการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว แต่ตลาดมีการรับรู้ไปแล้วในระดับหนึ่ง จึงเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของตลาดที่มีแนวโน้มของการเติบโตกำไรที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม ถึง 18 กุมภาพันธ์ การรายงานงบ 4Q64 ของบริษัทจดทะเบียนมีกำไรดีกว่าคาดราว 20% ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่กำไรตามคาดอยู่ที่ราว 60% และบริษัทจดทะเบียนที่กำไรแย่กว่าคาดอยู่ที่ราว 20%
โดยหุ้นปิโตรฯ เทคโนโลยี อาหาร เป็นกลุ่มที่กำไรดีกว่าคาด ส่วนการแพทย์ ICT สาธารณูปโภค กำไรแย่กว่าคาด ด้านกลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ควรเน้นการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ และทยอยขายทำกำไรหุ้นที่ปรับขึ้นแรงจากปัจจัยแวดล้อมมากกว่าปัจจัยภายใน โดยการเข้าซื้อยังเป็นลักษณะ Selective Buy ในหุ้นที่มีการเติบโตและความชัดเจนของกำไรสูง แต่ราคายังไม่สะท้อน เพื่อลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากกว่าเล่นตามภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน และอยู่บนความคาดหวังค่อนข้างมาก แนะนำหุ้นในกลุ่มต่างๆ ได้แก่
- กลุ่มหุ้นที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตดี และ/หรือ ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศอย่าง KBANK, SPALI, AMATA, LH, GULF, DELTA ,ADVANC, ONEE, CRC, MINT
- กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้ม Fund Flow ไหลเข้า แต่ราคายังต่ำกว่า Pre-COVID อย่าง PTT, AOT, CPF, LH, CPALL และ
- กลุ่มหุ้น Domestic รับอานิสงส์กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวดีขึ้นอย่าง CRC, AP, SPALI, AH, ONEE
ทั้งนี้ ในบรรดากลุ่มหุ้นต่างๆ ที่แนะนำ ผมเลือกมา 5 ตัว เพื่อจัดพอร์ตไว้เป็นแนวทางสำหรับนักลงทุน ดังนี้ครับ
- AOT หุ้นที่มีแนวโน้ม Fund Flow ไหลเข้าแต่ราคายังต่ำกว่า Pre-COVID และ Sentiment บวกจาก ศบค. เตรียมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ Test & Go รับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ
- CPF หุ้นที่มีแนวโน้ม Fund Flow ไหลเข้า แต่ราคายังต่ำกว่า Pre-COVID และคาดกำไร 1Q65 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ ด้วยราคาสุกรและไก่เนื้อในประเทศปรับตัวดีขึ้น (+20% ถึง +35%)
- CPALL กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะปรับตัวดีขึ้นหลังกำลังซื้อฟื้นตัว โดยปี 2565 คาดกำไรปกติโตแกร่งถึง 72%YoY ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่า Pre-COVID
- LH กำไรปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ดีขึ้น และมี Upside จากการขายสินทรัพย์ใน 2Q65 ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่า Pre-COVID และ
- ONEE หุ้น Domestic ที่ได้รับอานิสงส์กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น โดยจัดเป็นหุ้น Proxy ของการฟื้นตัวในเม็ดเงินโฆษณา ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่า Pre-COVID แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้าครับ
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP