จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในระหว่างมอบนโยบายให้กับทีมเซลส์แมนจังหวัดในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Webinar ภายใต้โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเซลส์แมนจังหวัด Go-Inter ว่า การส่งออกของประเทศไทยถือเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ ในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา
ส่วนภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบันถือว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้วและกำลังทะยานขึ้น ตัวเลขการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 สงครามการค้า และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
โดยตัวเลขการส่งออกที่ต่ำสุดช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 ติดลบ 22% เดือนมิถุนายนติดลบ 23% แต่หลังจากนั้นก็ติดลบน้อยลงเป็นลำดับ จนถึงเดือนกรกฎาคมติดลบ 11% กระทั่งเดือนเดือนธันวาคม 2563 เริ่มกลับมาเป็นบวกถึง 4.7%
“ปีนี้ตัวเลขเดือนมกราคมเป็นบวก เดือนกุมภาพันธ์แม้ภาพรวมติดลบ แต่ถ้าเอาทองคำ ยุทธปัจจัย และน้ำมันออก เหลือแต่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ถือว่าตัวเลขยังเป็นบวกอยู่ โดยเดือนมีนาคมคาดการณ์ว่าตัวเลขจะเป็นบวกไม่น้อยกว่า 8% การส่งออกของเรายังมีสัญญาณที่ดี ทะยานขึ้นเป็นลำดับ”
สำหรับสินค้าสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออก ประกอบด้วย สินค้าเกษตร, สินค้าอาหาร, เครื่องใช้ในบ้าน และภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ผลิตผลทางการเกษตรที่ยังมีอนาคต โดยอาหารนั้นประกอบด้วยผลไม้สด ผลไม้แปรรูป และอาหารกระป๋อง มีการขยายตัวที่ดี
ส่วนตลาดสำคัญที่มีศักยภาพรองรับสินค้าของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น-อาเซียน CLMV และตลาดในทวีปออสเตรเลีย ขยายตัวได้ดี แม้การท่องเที่ยวจะติดปัญหาและอุปสรรค การส่งออกยังเดินหน้าต่อไปได้ และจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญต่อไปภายใต้ความร่วมมือทำงานหนักระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน ทั้งทีมเซลส์แมนจังหวัดและทีมเซลส์แมนประเทศ
จุรินทร์กล่าวด้วยว่า เรื่องไทม์ไลน์การจับคู่ธุรกิจด้วยระบบออนไลน์ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการมีผลช่วยให้ยอดตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้น หลังวิกฤตโควิด-19 ได้มีการปรับรูปแบบเจรจาเพื่อการส่งออกเป็นระบบออนไลน์มากขึ้น และเกือบเต็มรูปแบบ
โดยกระทรวงพาณิชย์สามารถผลิตนวัตกรรมทางการตลาดรูปแบบใหม่ให้เกิดขึ้นหลายรูปแบบ เช่น ไฮบริด ส่งสินค้าจริงไปยังประเทศปลายทางและเจรจาซื้อขายกันด้วยระบบออนไลน์ หรือ Mirror Mirror และรูปแบบจับคู่ธุรกิจออนไลน์ Online Business Matching (OBM) โดยทีมเซลส์แมนประเทศเจรจาและจัดพื้นที่ให้มีการเจรจาผ่านระบบออนไลน์ ผู้ส่งออกของไทยสามารถเจรจาทำสัญญาซื้อขายเจรจาจับคู่ ปี 2563 สามารถทำยอดขายเฉพาะระบบ OBM 15,000 ล้านบาท และปี 2564 ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ได้ไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาท
จุรินทร์กล่าวว่า เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 ไตรมาสแรกดำเนินการจับคู่เจรจาธุรกิจ 33 ครั้ง ได้ 992 คู่ สามารถขายสินค้าให้กับผู้ส่งออกของไทย 325 ราย มีผู้นำเข้าจากต่างประเทศมาซื้อสินค้า 345 ราย ยอดซื้อขายไตรมาสแรกของปีนี้ 5,280 ล้านบาท
ส่วนไตรมาสที่เหลือกำหนดแผนงานไว้ชัดเจนแล้ว กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าแม้ในภาวะวิกฤตโควิด-19 เพื่อนำรายได้เข้าประเทศในทุกช่องทาง กำหนดเป้าหมายจัดให้มีการจับคู่ 85 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ตั้งเป้าจับคู่ไม่ต่ำกว่า 2,500 คู่ จะทำมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,600 ล้านบาท
ตัวอย่าง เดือนพฤษภาคม 2564 ทำกับห้าง Walmart ของสหรัฐอเมริกา และประเทศแอฟริกาใต้ จับคู่เพื่อขายสินค้าฮาลาลในเดือนกรกฎาคม ขายอาหารสุขภาพในเดือนกรกฎาคม เป็นต้น