สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรายงาน ‘ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2565’ โดยระบุว่า การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนได้จากการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน รายได้เกษตรกร และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น แต่การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า เห็นได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน และการลงทุนในหมวดการก่อสร้างที่ชะลอตัว แนะจับตาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์จ่อกระทบต่อการผลิต การส่งออก และเศรษฐกิจโลก
วุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วย พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการเศรษฐกิจ) สูง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย รวมถึงรายได้เกษตรกรที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต การส่งออก และทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด
การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนกรกฎาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล 21.1% ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 16.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล 5.5%
ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนกรกฎาคม 2565 ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 10.7%
สำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ในเดือนกรกฎาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.8% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล 3.9%
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับเพิ่ม แต่ยังชะลอตัว
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.4 จากระดับ 41.6 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยเป็นผลมาจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่สถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนการผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้สะดวกมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ที่ทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า
ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือ เครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนกรกฎาคม 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5.1% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 6.9%
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 25.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.6%
สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 6.3% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 0.8%
ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8.5% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 4.8%
ส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 23,629.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันที่ 4.3% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่าการส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย, ตะวันออกกลาง, อาเซียน 9 และสหรัฐอเมริกา ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 33.3%, 27.4%, 22.6% และ 4.7% ตามลำดับ
อุปทานปรับตัวดีขึ้น
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยบริการด้านการท่องเที่ยวในเดือนกรกฎาคม 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 1.12 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 6,126.3% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.8% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย, อินเดีย, เวียดนาม และเกาหลีใต้ ตามลำดับ
เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย (หรือนักท่องเที่ยวไทย) ในเดือนกรกฎาคม 2565 จำนวน 16.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,818.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.4%
ขณะที่ภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.1% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.2% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ดี ผลผลิตในหมวดไม้ผลและหมวดปศุสัตว์ชะลอตัว
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.0 จากระดับ 86.3 ในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตที่ขยายตัวจากความต้องการทั้งสินค้าคงทน และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาดในประเทศ และตลาดส่งออกที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงจากราคาวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงค่าขนส่งที่ยังเพิ่มขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี รองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 7.61% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.99% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ 61.1% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 0.56% ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 220.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ