วันนี้ (21 ส.ค.) ประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการหารือการค้าเพื่อส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า
การหารือกันในวันนี้ ทั้ง 3 ฝ่ายต่างมีความยินดีในการค้าโคเนื้อร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ไทยกับจีนยังไม่สามารถเจรจาการค้าได้โดยตรง จึงใช้บริษัทของลาว ซึ่งเป็นบริษัทลูกจากจีนเป็นตัวกลางในการส่งต่อโคเนื้อของไทย พร้อมกันนี้จีนได้กำหนดคุณสมบัติของโคที่จะรับซื้อ จะต้องเป็นลูกผสมอเมริกันบราห์มัน หรือลูกผสมยุโรปทุกสายพันธุ์ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 350-400 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ส่งออกวันละ 2,000 ตัว โดยลาวจะนำโคจากไทยไปเลี้ยงต่ออีก 45 วัน ที่คอกโคขุนเพื่อเตรียมน้ำหนักของโค จากนั้นเข้าคอกกักกันโรคอีก 30 วัน รวม 75 วัน จึงจะสามารถส่งข้ามไปจีนได้ ทั้งนี้จีนมีความต้องการเนื้อโคสำหรับบริโภคในประเทศอีกราว 9 ล้านตัน หรือคิดเป็นโคมีชีวิตประมาณ 40 ล้านตัวต่อปี
ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้แทนฝั่งไทยในการเจรจารายละเอียดความร่วมมือต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ไทยและกรมปศุสัตว์ลาวจะร่วมมือกันในการตรวจรับรองคอกโคขุน และคอกกักกันโรคในฝั่งไทยก่อนมีการส่งออก อีกทั้งเน้นย้ำให้มีมาตรการในการตรวจโรคสำคัญ อาทิ โรคปากเท้าเปื่อย ซึ่งจีนได้เข้มงวดในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเด็ดขาด นอกจากนี้กรมปศุสัตว์จะเริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมของเกษตรกร โดยสร้างการรับรู้ที่ดี ปรับปรุงระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้น้ำหนักวัวได้มาตรฐานผลิตจากฟาร์ม GAP หรือฟาร์มปลอดโรคของกรมปศุสัตว์ เป็นต้น
“สำหรับบทบาทหน้าที่ของไทย จะวางแผนเตรียมการในกระบวนการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกร หาพื้นที่เพื่อวางฐานการผลิต ซึ่งขณะนี้ได้มีนโยบายที่จะให้มีคอกขุนกลาง เลี้ยงโคจำนวน 1,000 ตัวในพื้นที่เป้าหมายแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นทั้งคอกขุนในช่วงที่ต้องเพิ่มน้ำหนักโคให้ได้ตามคุณสมบัติที่จีนกำหนด ขณะเดียวกันต้องเป็นคอกมาตรฐานกักกันโรค และได้มาตรฐานฟาร์มโคเนื้อเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศอีกด้วย” ประภัตรกล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: