หอการค้าไทยหวังรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยระยะสั้นเร่งด่วน ต้องวางกลยุทธ์ประเทศเพื่อทำให้ GDP ของไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-5% ต่อปี เปิดประตูการค้า ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มองประเด็นนายกฯ หญิงที่อายุน้อย ขึ้นอยู่กับการแสดงความเป็นผู้นำ และการบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนี้
สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยต้องขอแสดงความยินดีกับแพทองธาร ชินวัตร ที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 มุมมองของหอการค้าไทยถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่สภามีมติเห็นชอบเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากนี้เป็นขั้นตอนของการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งหลังจากจบกระบวนการตามกฎหมายแล้วเสร็จ จะเป็นส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นยังต้องการการฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน ดังนี้
- รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งจะเอื้อต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
- การรักษาโมเมนตัมภาคการท่องเที่ยว โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละ 3 ล้านคน ส่วนนี้อยากให้มีการผลักดันและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 36-37 ล้านคนในปีนี้
ขณะเดียวกัน ควรรณรงค์ ‘เมืองน่าเที่ยว’ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การท่องเที่ยวโดดเด่นและเกิดการกระจายตัว กระจายรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลักไปสู่เมืองน่าเที่ยว รวมถึงเดินหน้าแผนการกระจายการลงทุนไปจังหวัดนำร่อง 10 จังหวัด ที่หอการค้าฯ ทำร่วมกันมาช่วงก่อนหน้านี้ต่อ
- การเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือไม่ต่ำกว่า 2% ต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ไปเชิญชวนให้มีการเจรจา และเชิญหลายบริษัทมาลงทุนที่ประเทศไทย
- การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด และควรเร่งจัดทำงบประมาณปี 2568 ให้เสร็จสิ้นตามกระบวนการ หรือในกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อ
- การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งมาตราการเยียวยาและการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงมาตรการปกป้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน
- พรรคร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นตัวจริงด้านการค้า และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งเราเองก็มีหอการค้าในทุกจังหวัดที่พร้อมจะทำงานสนับสนุนร่วมกันกับภาครัฐ
“สิ่งที่ภาคเอกชนเห็นคือการมีนายกรัฐมนตรีได้เร็ว ทำให้ประเทศไม่เกิดสุญญากาศ ส่วนนี้ทำให้เรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เร็ว ส่วนเรื่องที่เรามีนายกฯ หญิงที่อายุน้อยนั้น ประเด็นนี้มองว่าขึ้นอยู่กับการแสดงความเป็นผู้นำ และการบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนี้” สนั่นกล่าว
สานต่อเปิดประตูการค้าดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ
สำหรับความพร้อมของการบริหารงานที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็เชื่อว่า พรรคเองมีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในทุกด้านอยู่แล้ว ซึ่งภาคเอกชนอยากเห็นการทำงานเป็นทีมกับพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น ก็จะทำให้การทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีเอกภาพและเสถียรภาพ
นอกจากนี้ หลายมาตรการของเศรษฐา อดีตนายกฯ โดยเฉพาะการเปิดประตูการค้า และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สิ่งเหล่านี้รัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องเดินหน้าสานต่อ โดยมีการกำหนดกระทรวงหรือผู้รับผิดชอบเพื่อติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
รวมถึงการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการที่เกี่ยวข้อง Soft Power ส่วนนี้หอการค้าฯ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบ และสามารถที่จะต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของไทยได้อยู่แล้ว ซึ่งเอกชนเห็นด้วยว่าควรเดินหน้าขับเคลื่อนในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน การดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ยังเป็นปัญหาของไทยที่ยังขาดบุคลากรที่มีความพร้อมในด้านทักษะที่เพียงพอ ตลอดจนปัญหาด้านต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ยังสูง และกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุน สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ไข ซึ่งนอกจากรัฐบาลจะเป็นเซลส์แมนแล้ว จะต้องปิดการขายให้ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยมี GDP เติบโตเฉลี่ย 2% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพและไม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น ในระยะกลางและระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องวางกลยุทธ์สำหรับประเทศ เพื่อทำให้ GDP ของไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-5% ต่อปี