×

จีนเศรษฐกิจซบ ไม่เที่ยวไทย! ‘การบินไทย’ เล็งปรับแผนย้ายเครื่องบินไปบินเส้นทางบินดีมานด์สูง ทั้งยุโรป-ออสเตรเลีย-ญี่ปุ่นแทน

13.11.2023
  • LOADING...
ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์

การบินไทยมองธุรกิจปีหน้ามีปัจจัยเสี่ยงหลายประเด็นรออยู่ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอ และเริ่มเห็นสงครามกระทบยกเลิกการเดินทาง 

 

ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย หรือ THAI เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจบริษัทการบินไทยในปี 2567 ยอมรับว่ายังต้องเผชิญความท้าทายและมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามในหลายประเด็น เนื่องจากยังมีปัญหาเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอ อีกทั้งมีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากสถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ส่งผลให้ผู้โดยสารบางส่วนยกเลิกการเดินทางในเส้นทางยุโรปในช่วงไตรมาส 3-4/66 ทำให้มองว่าจะมีผลกระทบให้ยอดจองตั๋วเดินทางเส้นทางการบินยุโรปในช่วงฤดูหนาวของปีนี้มีความคึกคักลดลงจากช่วงฤดูหนาวปี 2565 แม้ในไตรมาส 4/66 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/66 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจท่องเที่ยว แต่บริษัทยังต้องระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ 

 

อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีนยังไม่ได้กลับมาเที่ยวประเทศไทย แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการวีซ่าฟรีเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนแล้วก็ตาม รวมทั้งยังเริ่มมีสายการบินของจีนที่เคยจองสล็อตเพื่อให้บริษัทการบินไทยให้บริการภาคพื้นดินไว้ ก็ได้ยกเลิกการจองไปเป็นจำนวนมาก เป็นผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจภายในจีนที่กำลังชะลอตัว   

 

นอกจากนี้ บริษัทยังต้องระมัดระวังอุตสาหกรรมการบินที่แข่งขันกันรุนแรงเพิ่มมากขึ้น หลังสายการบินต่างชาติหลายๆ แห่งเริ่มกลับมาบินมากขึ้น รวมทั้งต้นทุนด้านราคาน้ำมันก็สูงขึ้น โดยในไตรมาส 3/66 ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็น 40% ของต้นทุนรวม จากก่อนที่จะมีสงครามบริษัทมีต้นทุนน้ำมันอยู่ที่ 33% และค่าใช้จ่ายการบริการภาคพื้นในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากร

 

ตลาดจีนซบ เล็งนำเครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางบินตลาดดีมานด์สูง

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังประสบปัญหาการมีจำนวนฝูงบินไม่เพียงพอรองรับการบินในเส้นทางที่มีความต้องการเดินทางของผู้โดยสารจำนวนมาก โดยหากเส้นทางการบินไปจีนมีปัญหาชะลอตัวเกิดขึ้น บริษัทก็จะปรับแผนนำเครื่องบินที่ใช้บินเส้นทางการบินไปจีน เปลี่ยนไปใช้บินในเส้นทางบินอื่นๆ ที่มีความต้องการเดินทางสูงแทนได้ เช่น การเปิดเส้นทางบินไปเมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ และเส้นทางบินไปเมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย รวมถึงเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินในเส้นทางบินไปญี่ปุ่น  

 

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/66 รวม 37,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3.27 ล้านคน เป็นส่วนของการบินไทย 2.19 ล้านคน และไทยสมายล์ 1.08 ล้านคน โดยมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 77.3% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ย 77%

 

ส่วน EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบิน ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขชี้วัดที่สำคัญในการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ออกมาเป็นบวกต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 8,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับช่วง 9 เดือนมีรายได้รวมที่ 1.16 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินอยู่ที่ 31,720 ล้านบาท มีจำนวนผู้โดยสาร 10.13 ล้านคน โดยประเมินว่าทั้งปี 2566 จะมีรายได้รวม 1.50 แสนล้านบาท มีจำนวนผู้โดยสารที่ 14 ล้านคน

 

คาดรายได้ปี 2567 เท่าก่อนโควิด แตะ 1.8 แสนล้าน

จากแนวโน้มภาพรวมความต้องการเดินทางและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น ประเมินว่าทั้งปี 2566 บริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 1.50 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่รายได้รวม 1.05 แสนล้านบาท และปี 2567 จะมีรายได้กลับไปใกล้เคียงกับปี 2562 ในช่วงก่อนโควิดที่มีรายได้ 1.80 แสนล้านบาท

 

“จากที่ผลประกอบการออกมาดีต่อเนื่องทำให้บริษัทมีส่วนผู้ถือหุ้นที่ติดลบจากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 71,000 ล้านบาท สิ้นไตรมาส 3/66 จะติดลบลดลงมาอยู่ที่ 54,706 ล้านบาท เพราะ 2 เงื่อนไขสำคัญทางการเงินที่บริษัทจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ คือ 1. EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินในรอบ 12 เดือนต้องบวกเกินระดับ 20,000 ล้านบาท และ 2. ส่วนผู้ถือหุ้นต้องกลับมาเป็นบวก เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่อไปจะต้องเน้นการทำผลการดำเนินให้ออกมาดีต่อเนื่อง เพราะจะทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นที่ติดลบน้อยลง และทำให้บริษัทมีเงินสดภายในบริษัทเพิ่มเป็นประมาณ 63,000 ล้านบาท”

 

ขณะที่ปี 2567 บริษัทจะมีการรับมอบเครื่องบิน A350-900 อีก 6 ลำ จากที่ทั้งหมดจะมีจำนวนเครื่องบินที่ได้ทำการเช่าเพิ่มอีก 26 ลำ ซึ่งรับมอบเครื่องบิน A350-900 ไปแล้ว 3 ลำในปีนี้ และที่เหลือจะรับมอบในปี 2568 จากปัจจุบันมี 68 ลำ ก็จะทำให้การบินไทยมีฝูงบินใหญ่ขึ้น สามารถบินในเส้นทางยอดนิยมได้มากขึ้น 

 

แปลงหนี้เป็นทุน-หุ้นเพิ่มทุนเสร็จสิ้นปี 2567

ปิยสวัสดิ์กล่าวต่อถึงความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งคาดว่าบริษัทจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ช่วงไตรมาส 2/68 เป็นไปตามกำหนดการของแผนฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทต้องดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุนและขายหุ้นเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 8 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ส่วนของทุนกลับมาเป็นบวก 

                  

ขณะที่การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมมูลค่าไม่น้อยกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะประสบผลสำเร็จ เนื่องจากกระทรวงการคลัง รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ถือหุ้นในบริษัทรวมกันในสัดส่วน 60% จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่หลังการเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังและหน่วยงานรัฐจะต้องถือหุ้น THAI ไม่เกิน 40% เพื่อไม่ให้การบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจตามที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

                 

ด้าน กรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการบินการพาณิชย์ (CCO) THAI กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4/66 ยอดจองตั๋วล่วงหน้ายังไม่คึกคักมากนัก โดยในเดือนตุลาคม 2566 มีอัตราบรรทุก (Cabin Factor) เฉลี่ย 75-76% ส่วนในเดือนพฤศจิกายนจะมี Cabin Factor อยู่ที่ระดับ 78% ขึ้นไป ส่วนในเดือนธันวาคม 2566 คาดว่าจะมี Cabin Factor เฉลี่ย 80% ขึ้นไป 

          

ส่วนเส้นทางบินไปจีน การบินไทยกลับมาบิน 40% ของความสามารถในการบินไปจีน (Capacity) โดยเปิดบินไปเมืองหลักแล้วทั้งปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางเจา ทำการบินจำนวน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเฉิงตูจำนวน 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ จากที่ผู้โดยสารจากจีนยังชะลอตามภาวะเศรษฐกิจ บริษัทกำลังติดตามข้อมูลการจองตั๋วเดินทางในช่วงตรุษจีนปี 2567 ซึ่งวันนี้ยังไม่เห็นการจองตั๋วล่วงหน้าเข้ามามาก ทั้งนี้ การบินไทยวางเป้าหมายว่าในปี 2568 จะกลับไปบินเส้นทางจีนให้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนโควิดมากที่สุด ส่วนอินเดียขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขชัดเจนว่าเพิ่มขึ้นอย่างไรหลังไทยให้วีซ่าฟรีกับนักท่องเที่ยวอินเดีย 

 

Golden Week ของจีนที่ผ่านมามีผู้โดยสารชาวจีนเดินทางเข้ามาเยอะก็จริง แต่พอจบ Golden Week ผู้โดยสารชาวจีนก็ชะลอตัวลงไป เข้าใจว่ามาจากผลกระทบเศรษฐกิจภายในที่ไม่พร้อมจะเดินทาง แม้จะมีมาตรการวีซ่าฟรีกับการขอพาสปอร์ตที่ง่ายขึ้นแล้ว ซึ่งมองว่าตลาดจีนน่าจะทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ แต่คงช้ากว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X