ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับภารกิจสุดท้าทายในงาน 14th Red Bull Desert Adventure 2025 ที่จัดขึ้นกลางทะเลทรายเทงเกอร์ (Tengger Desert) ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2568 งานนี้มีนักวิ่งกว่า 4,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาระดับ MBA และ EMBA จากมหาวิทยาลัยร่วม 110 แห่ง โดยมี เรดบูล มาเป็นสปอนเซอร์หลักครั้งแรก ความท้าทายครั้งนี้ไม่ใช่แค่งานวิ่งธรรมดา แต่คือการพิชิตทะเลทรายแบบเอาตัวรอด 3 วัน 2 คืน ที่เราต้องแบกทุกอย่างไปเอง ตั้งแต่เต็นท์ อาหาร อุปกรณ์ทำครัว ถุงนอน และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับ DNA ของแบรนด์เรดบูลที่พร้อมปลุกพลังให้ทุกคนทลายขีดจำกัดทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ตัวแทนทีม Red Bull จากประเทศไทย
ก่อนอื่นต้องบอกว่าก่อนมาร่วมงานนี้ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองจะออกจาก comfort zone ได้ไกลขนาดนี้ แต่ด้วยความท้าทายและการได้ร่วมงานที่เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมไทย ที่ทุกคนมาพร้อมเป้าหมายเดียวกัน คือ อยากวิ่งให้สนุก ปลอดภัย และกลับบ้านพร้อมประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
ชุดวันแข่ง
การเดินทางสู่ทะเลทรายเทงเกอร์
ช่วงเวลาที่เราเดินทางไปคือต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศในทะเลทรายมีความแปรปรวนสูง แนะนำว่าใครจะไปควรเตรียมเสื้อผ้าที่รับมือได้ทั้งอากาศร้อนจัดและเย็นจัด เพราะกลางวันแดดแรงแต่กลางคืนหนาวเย็นมาก
เราเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบิน Yinchuan ใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่คุณหมิง จากนั้นนั่งต่ออีก 2 ชั่วโมง เพื่อมายังเมืองหลวงของเขตหนิงเซี่ย ซึ่งรวมแล้วใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะถึงที่พักในเมือง Alxa ในเขตปกครอง Alxa มณฑลมองโกเลียใน ประตูสู่ทะเลทรายเทงเกอร์
ภาพบรรยากาศในงาน Expo
วันรุ่งขึ้นก็ไปยังสถานที่จัดงาน Expo รับ BIB และอุปกรณ์ต่างๆ ที่นี่เป็นที่ที่เราได้พบกับผู้เข้าแข่งขันจากทั่วเมืองจีน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีนที่รวมตัวกันมาเป็นทีม แต่ก็มีนักวิ่งจากหลายประเทศ รวมถึงไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ตื่นเต้น และความกังวลผสมกัน จากนั้นก็กลับโรงแรมเพื่อแพ็คกระเป๋ารอบสุดท้าย ก่อนออกเดินทางสู่ทะเลทราย
เส้นทางวิ่งที่ไม่เหมือนใคร
งานนี้เราจะวิ่งฝ่าทะเลทรายเทงเกอร์ แบ่งการวิ่งออกเป็น 3 ระยะทาง คือ 33 กิโลเมตร (Team C), 70 กิโลเมตร (Team B) และ 99 กิโลเมตร (Team A) แต่จะไม่ได้วิ่งรวดเดียวจบ ทุกระยะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน แบ่งเป็นวิ่งวันละประมาณ 10-30 กิโลเมตร โดยแต่ละวันจะมีเวลา cut-off ที่แตกต่างกัน
สำหรับ 33 กิโลเมตรที่เราเลือก การเดินทางแบ่งเป็นวันแรก 11 กิโลเมตร วันที่ 2 ระยะ 15 กิโลเมตร และวันสุดท้าย 5 กิโลเมตร ฟังดูเหมือนไม่มาก แต่พอเอาเข้าจริงระยะก็เกินไปมากเพราะทะเลทรายไม่ได้มีการตีเส้นหรือทางเดินที่ชัดเจนเหมือนพื้นถนน ทำให้รวมๆ แล้วระยะทางของพวกเราเกิน 33 กิโลเมตรแน่นอน ส่วนเวลาที่ใช้ในแต่ละวันนั้น ‘มากกว่า’ การวิ่งถนน 2 เท่า อย่างวันแรกที่ระยะ 11 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินทางร่วม 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ประสบการณ์ที่สุดท้าทาย แต่คุ้มค่าที่สุด
รอบนี้เราลงแข่งระยะ 33 กิโลเมตร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ ‘เบาที่สุด’ ในสามระยะ แต่ในทะเลทราย ไม่มีคำว่าเบา เพราะทุกย่างก้าวล้วนหนักด้วยแรงต้านของผืนทราย และแรงแดดที่ไม่มีอะไรบดบัง รวมถึงเส้นทางที่เป็นเนินขึ้นลงตลอด บางวันเราแทบไม่เจอทางราบเลย
แต่แม้จะหนัก แต่สิ่งที่ชอบและประทับใจที่สุดคือ วิวตลอดเส้นทางที่สวย แปลกตา เหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟ ทุกอย่างเวิ้งว้างมีแต่ทะเลทรายที่มองไปจะเห็นโอเอซิสอยู่ไกลๆ และแม้แดดจะแรงจ้า แต่อากาศไม่ร้อนอบอ้าว บางช่วงเวลาเราเจอลมเย็นพัดสบายตัว หรือบางวันเจอทั้งแดด ลมพายุ และฝน (ใช่ ฝนตกกลางทะเลทราย!) ในเรซเดียวกันก็มี เรียกได้ว่าอากาศนั้นคาดเดาไม่ได้จริงๆ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ร้อนอบอ้าวและเหนียวตัวเหมือนเวลาไปทะเล
ชีวิตในแคมป์กลางทะเลทราย
ทุกคนต้องพักค้างแรมในแคมป์กลางทะเลทรายที่เดิมทุกวัน (นึกถึงการวิ่งแบบดาวกระจาย) โดยที่เราต้องตั้งเต็นท์และเตรียมทุกอย่างไปเอง ตั้งแต่ถุงนอน หมอน อาหารสำเร็จรูป ไฟฉาย แบตฯสำรอง และแม้แต่ช้อนส้อม ทิชชู
ช่วงกลางคืนที่แคมป์คืออีกประสบการณ์ที่น่าจดจำ เพราะอุณหภูมิลดลงเร็วมาก สามารถลงไปถึงเลขตัวเดียวได้เลย เรียกได้ว่าถ้าใครนอนเต็นท์แล้วไม่มีถุงนอนหนาๆ ใส่เสื้อดาวน์ ไม่รอดแน่ๆ เพราะหนาวเย็นมากจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงตี 2 เป็นต้นไป
แต่การพักที่แคมป์ก็มีมนต์เสน่ห์ไม่น้อย เพราะเราตั้งแคมป์กลางทะเลทราย ติดกับโอเอซิส ที่มองไปเห็นวิวสวยๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ตกดึกมีดาวเต็มท้องฟ้า ลมเย็นปะทะหน้า และในแคมป์มีโซนพักผ่อนที่ทาง Red Bull จัดเตรียมไว้ให้อย่างดี ไม่ว่าจะโซนนวดจับเส้น นวดด้วยเครื่อง หรือนวดด้วยตัวเอง ที่นั่งพักชิลล์ชมพระอาทิตย์ตกดิน มีการแสดงคอนเสิร์ตจากนักศึกษาที่มาร่วมวิ่ง และการแสดงพลุที่จุดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา
เวลาการแสดงกลางทะเลทราย
อาหาร น้ำ และการเติมพลัง
โชคดีที่เส้นทางวิ่งมีจุด Food Supply ระยะต่างๆ ที่มีน้ำดื่ม ของว่างเติมพลัง เช่น ขนมปัง แตงโม แตงกวา ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มเติมพลัง ดับกระหาย อย่าง Red Bull ให้หยิบไม่อั้น ทำให้เราพออุ่นใจได้บ้างว่าไม่ต้องตุนเสบียงไปวิ่งกับเรามากนัก
อย่างไรก็ตาม อาหารหลักเราต้องเตรียมไปเอง ส่วนใหญ่เราเลือกอาหารสำเร็จรูปแบบไม่ต้องให้ความร้อน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารปรุงสุกพร้อมกิน หรือขนมปังต่างๆ เพื่อความสะดวก ที่แคมป์มีโรงอาหารที่สามารถซื้ออาหารเพิ่มเติมได้เช่นกัน หลายคนก็ฝากท้องกันแถวนั้น
เตรียมตัวอย่างไรให้รอดกลางทะเลทราย
การเตรียมตัวคือกุญแจสำคัญที่สุด รองเท้าที่ใช้ต้องเป็นรองเท้าเทรลและต้องมี Gaiter หรือผ้าคลุมข้อเท้ากันทราย เพราะทรายที่เข้าไปเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เท้าพองและเดินต่อไม่ได้ เสื้อผ้าต้องปกปิดแต่ระบายอากาศได้ดี หมวกปีกกว้างและแว่นกันแดดเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงครีมกันแดด SPF สูงๆ ที่ต้องทาบ่อยๆ
นอกจากนี้ยังต้องมีเสื้อกั๊กวิ่งเทรลที่สามารถใส่ข้าวของต่างๆ ติดตัวไปด้วย ไม้โพลที่จำเป็นมากๆ สำหรับการช่วยพยุงและทุ่นแรง ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าเราอยากพกอะไรติดตัวไปด้วย เช่น ถุงมือ หน้ากากบังแดด เสื้อกันฝน เป็นต้น
ส่วนการฟิตซ้อมร่างกาย ย้ำว่าทั้งความอึดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญ ควรซ้อมวิ่งให้ร่างกายคุ้นชินกับความเหนื่อยล้า และเวททั้ง lower และ upper body เพราะได้ใช้ทั้งหมดนี้แน่ๆ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือใจ เพราะแรงใจนี่แหละคือเชื้อเพลิงชั้นดี ในวันที่คุณมองขบวนนักวิ่งเบื้องหน้า แล้วไม่เห็นหัวแถวสักที
สรุป: ทะเลทรายเทงเกอร์สอนอะไรให้เรา
การเข้าร่วมงาน 14th Red Bull Desert Adventure ครั้งนี้ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่มีค่ามากกว่าการวิ่งแข่งทั่วไป เราได้รู้จักขีดความสามารถของตัวเองมากขึ้น เห็นว่าร่างกายและจิตใจทำได้มากกว่าที่คิด ระยะทาง 33 กิโลเมตรบนทะเลทรายสอนให้รู้ว่าการทำอะไรที่ยากๆ นั้นต้องอาศัยความอดทน เพราะแค่เดินก็ยังเป็นสิ่งที่ยากกว่าปกติ
การได้ออกจาก Comfort Zone ทำให้เห็นว่าเราสามารถรับมือและจัดการกับความยากลำบากได้ดีกว่าที่คิด และประสบการณ์นี้ช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ เมื่อต้องเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวัน และไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งมือใหม่หรือมีประสบการณ์โชกโชน ประสบการณ์ในทะเลทรายเทงเกอร์คืออะไรที่ไม่ควรพลาด เพราะไม่ว่าคุณจะวิ่งจบที่เวลาเท่าไร สำหรับเราแล้ว การได้เอาชนะตัวเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ภาพ: Red Bull