ในบรรดานักแสดงรุ่นใหม่ที่เริ่มเติบโตมาพร้อมๆ กัน เราคิดว่า เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ คือหนึ่งในคนที่มีพัฒนาการทั้งด้านฝีมือและบทบาทที่ได้รับน่าสนใจที่สุด ตั้งแต่บท ซัน นักร้องใน Hormones วัยว้าวุ่น, พัฒน์ เด็กหล่อบ้านรวยใน ฉลาดเกมส์โกง, บู ใน SOS skate ซึม ซ่าส์ มาจนถึงบท เวกัส เด็กหนุ่มที่มีระบบความคิดใกล้เคียงกับ AI ในละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง
และเขาก็ยังคงหาหนทางเพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เข้ามาเป็นหนึ่งในศิลปินจากโปรเจกต์พัฒนาศิลปิน 9×9 ของค่าย 4NOLOGUE ที่นอกจากจะเป็นการสานฝันที่เคยคิดไว้ตั้งแต่เด็ก ยังทำให้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคน ‘เนิร์ด’ ที่หลอมรวมเรื่องงานกับชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน
ในมุมมองของเจมส์ ตัวละคร ‘เวกัส’ เป็นคนแบบไหน
เป็นเด็กหนุ่มที่ใช้ตรรกะในการตัดสินใจกับทุกๆ เรื่องในชีวิต ตรงไปตรงมาตามเหตุและผล 1+1 ต้องเท่ากับ 2 มีความอยู่ในกรอบ และเชื่อว่าความถูกต้องมาก่อนเสมอ จนมีความคล้ายหุ่นยนต์หรือ AI ที่ไม่ใช้สัญชาตญาณจริงในการใช้ชีวิตเลย
ผมคล้ายกับเวกัสตรงที่ผมจะมีระบบความคิดตามเหตุและผลเหมือนกัน แต่ผมอาจจะไม่ได้แสดงออกแบบนั้นทั้งหมด บางเรื่องที่แสดงออกอาจทำไปตามอารมณ์และสัญชาตญาณบ้าง เพราะผมยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ ไม่ใช่ AI
จากบทบาทที่ผ่านมาตั้งแต่ ซัน ใน Hormones วัยว้าวุ่น, พัฒน์ ใน ฉลาดเกมส์โกง, บู ใน SOS skate ซึม ซ่าส์ จะเห็นว่าตัวละครของเจมส์มีมิติมากขึ้นเรื่อยๆ กับบท เวกัส ยังมีมิติด้านไหนอีกบ้างที่เจมส์ต้องพัฒนาขึ้นไป
ใน เลือดข้นคนจาง เป็นอีกหนึ่งบทที่เปลี่ยนทั้งระบบความคิดและบุคลิกภาพของผมเหมือนกันนะ ทั้งการเดิน การแสดงออก น้ำเสียง จังหวะช้าเร็วในการพูด ผมไม่อยากให้เวกัสเป็นตัวละครที่ถูกเหมาว่าเป็นแค่เด็กเนิร์ดที่ใส่แว่น ดูรีบๆ ลนๆ เพราะจริงๆ แล้วเวกัสมีอะไรที่มากกว่านั้นเยอะมาก เพราะฉะนั้นท่าทางทุกอย่างรวมไปถึงวิธีคิดขณะนั่งอยู่เฉยๆ ก็สำคัญในการช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้มีมิติ ให้เป็นเด็กฉลาด มีเหตุและผล หรือถ้าจะเรียกเขาว่าเนิร์ด เวกัสก็ต้องเข้าถึงเนื้อแท้ของความเนิร์ดจริงๆ ไม่ใช่เนิร์ดแค่เปลือก
ในชีวิตจริง เจมส์จัดอยู่ในหมวดคนเนิร์ดด้วยหรือเปล่า
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนเนิร์ดเรื่องงานตอนเข้าโปรเจกต์ 9×9 นี่แหละครับ เมื่อก่อนตอนเป็นนักแสดงเคยคิดว่าเราพยายามทำอะไรหลายอย่างเยอะแล้วนะ แต่มันยังมีช่วงว่างที่ได้พักไปทำอะไรบ้าง แต่พอเข้ามาโปรเจกต์นี้กลายเป็นว่าทุกวินาทีของผมไปอยู่กับการทำงานหมดเลย กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเลยจริงๆ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับให้เป็นนะ แต่ผมรู้สึกเองว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ด้วย มันเลยกลืนเข้าไปได้ง่าย
แล้วผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะมาก ผมอาจจะมีพื้นฐานด้านการแสดงมาบ้าง แต่พอเป็นงานที่ต้องเพอร์ฟอร์มเป็นกลุ่ม มันก็ต้องมีวิธีการแสดงออกอีกแบบที่ต้องมาเรียนร่วมกันใหม่อีกครั้ง ส่วนการร้องและการเต้นนี่คือเริ่มจากศูนย์จริงๆ แล้วผมพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่างด้วยความสนุกสนาน รวมความเนิร์ดที่บอกไปก็ยิ่งทำให้เราพยายามและยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมต้องซ้อมติดๆ กันแล้วมีอาการป่วยมาผสม ตลอดชีวิตผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อนเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลย
ก่อนหน้านี้พื้นฐานความสนใจเรื่องการร้องและเต้นของเจมส์เป็นอย่างไรบ้าง
ที่จริงผมเคยคิดว่าอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ แต่คิดว่าความสามารถไม่ถึง แอบรู้สึกว่าคนจะเป็นศิลปินได้ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาอยู่แล้ว
ตอนเล่น Hormones วัยว้าวุ่น เจมส์ก็เคยรับบทเป็นนักร้องมาแล้ว
Shit! (หัวเราะ)
ตอนนั้นอินกับการร้องเพลงมากขนาดไหน
ผมไม่ชอบ เพราะว่ามันออกมาเหี้ยมาก ผมไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ได้เรียนแค่นิดเดียวแล้วก็ต้องเป็นนักร้องเลย พอออกมาเลยกลายเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ ถือว่าเป็นแผลในการแสดงของผมเหมือนกันนะ
คิดว่าโปรเจกต์ 9×9 จะช่วยเยียวยาบาดแผลนั้นได้ไหม
มันจะไม่ใช่แค่เยียวยาให้หายครับ เพราะผมจะทำให้มันดี ผมไม่ได้เข้าโปรเจกต์นี้เพราะอยากปิดหรือแก้ปมตัวเอง แต่ผมอยากสร้างงานศิลปะบางอย่างที่ดีออกมา
จริงๆ เรื่องการร้องเพลงเป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้วนะ แต่ที่ไม่กล้าทำมาตลอด เพราะคิดว่าทำออกมาแล้วแย่ พอได้ยินโปรเจกต์นี้ อย่างแรกที่คิดคือไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกหรือเปล่า เราซ้อมกันวันละหลายชั่วโมงติดๆ กันมาปีครึ่งโดยไม่ออกผลงานอะไรเลย เพราะเราคิดว่าถ้าจะทำก็ต้องทำให้มันดีที่สุด เพราะฉะนั้นเชื่อว่าผลงานที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มันจะต้องเป็นผลงานที่ดีแน่นอน
จริงๆ สถานะของเจมส์ตอนนี้มีความคล้ายสมาชิกวง BNK48 เหมือนกันนะ ยิ่งได้ร่วมงานกับเฌอปรางในเรื่อง Homestay ทำให้เห็นมุมมองเรื่องนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมบ้างหรือเปล่า
เออ ช่วงนี้ชีวิตผมคล้ายๆ BNK48 เหมือนนะ ยิ่งได้คุยกับเฌอปรางก็ยิ่งเข้าใจเขามากขึ้นกับตำแหน่งที่เราอยู่ อาชีพที่เราทำมันมีความเข้าใจยากอยู่นะครับ เป็นงานที่ยิ่งเราเต็มที่กับมันมากเท่าไร เราก็ยิ่งคาดหวังกับสิ่งที่จะตามมามากเท่านั้น ซึ่งผมเป็นแบบนั้นเลย พอตั้งเป้าเยอะ ทุ่มไปเยอะ ก็เครียดเยอะ
ผมเป็นนักแสดงอย่างเดียวก็เครียดอยู่แล้ว พอมาโปรเจกต์นี้ก็ยิ่งทวีขึ้นไปอีก แต่ในความเครียดยังมีคนอีก 8 คนที่สนิทกันมากๆ เป็นเหมือนพี่น้องที่มากกว่าเพื่อนร่วมงาน เวลารู้สึกเหนื่อย มองหน้ากันแล้วต้องแฮปปี้นะ เพราะเราไม่ได้สู้ ไม่ได้บ้าอยู่คนเดียว ยังมีคนที่บ้าไปพร้อมๆ กับเราอยู่
บ้าเรื่องอะไรกันบ้าง
บ้าตั้งแต่รวมคน 9 คนที่ไม่เหมือนกันเลยมาอยู่ด้วยกัน เรามีทุกประเภท ตั้งแต่พูดเยอะ คุยไม่รู้เรื่อง ไม่คุย รวย หล่อ เท่ น่ารำคาญ ฯลฯ เรียกว่าไม่ว่าจะเลือกคนแบบไหน มันจะมีคนลักษณะแบบนั้นอยู่ในนี้หมดเลย แล้วพอ 9 คนที่มาอยู่ด้วยกันมีเป้าหมายเดียวกันมันจะสนุกมาก
สิ่งที่ผมชอบคือเราถูกปลูกฝังว่าทุกคนต้องไม่เหมือนกัน จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้โปรเจกต์นี้สนุกมาก เราไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใคร แค่ใครมีจุดดีตรงไหนก็แสดงมันออกมา ในขณะเดียวกันก็ช่วยกันกลบจุดอ่อนของคนอื่นไปด้วย
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เครียดเพิ่มขึ้นคือสถานะความเป็นลีดเดอร์ของผมที่ต้องดูภาพรวมเยอะ บางทีอาจจะกระทบกระทั่งกันบ้าง เพราะเมื่อมาทำงานแบบนี้จะมาทำเล่นๆ ไม่ได้ แล้วผมจะพูดกับน้องแบบตรงๆ เลย เพราะผมอยากให้ทุกอย่างออกมาดี ถ้าจบโปรเจกต์นี้ไป ทุกคนแยกกัน แล้วแต่ละคนพัฒนาจนยืนได้ด้วยตัวเอง แบบนี้จะเป็นภาพที่แฮปปี้มากสำหรับผมเลยนะ
ที่บอกว่าต้องซ้อมอยู่ปีครึ่งโดยที่ไม่มีผลงานอะไรออกมาให้เห็น ระหว่างนั้นเคยสงสัยบ้างไหมว่าเรากำลังทำเพื่ออะไรกันอยู่
ผมเคยมีคำถาม และคิดว่าทุกคนก็มีคำถามเหมือนกันแหละ แต่เพราะเราเชื่อมั้งครับ มันคือความเชื่อว่าทุกคนให้ใจกับโปรเจกต์นี้เต็มๆ คิดดูว่าระหว่างที่ไม่มีผลงาน แต่ค่ายก็ต้องจ่ายเงินให้พวกผมซ้อมกันโดยที่ไม่มีผลงานอะไรออกมาเหมือนกัน รวมถึงน้องๆ ที่เข้ามาใหม่ก็ทุ่มกันสุดตัว หรือรุ่นเก่าอย่างผม พี่ต่อ (ธนภพ ลีรัตนขจร) และเจเจ (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) ที่แบกอะไรไว้บนหลังมาพอสมควรก็ตัดสินใจเหมือนกันว่า โอเค พวกกูยอมแลกทุกอย่างเพื่องานนี้ แล้วมันต้องแลกจริงๆ เพราะถ้าออกมาไม่ดี ทุกอย่างคือเหี้ยทั้งหมดเลยนะสำหรับโปรเจกต์แบบนี้
แล้วที่ต้องแลกอีกอย่างก็คือเวลา 1 ปีผมไม่สามารถรับงานอื่นได้เลย ถ้า Homestay ไม่ใช่ของค่าย GDH ผมก็เล่นไม่ได้ เราเททุกอย่างหมดหน้าตักเพื่อโปรเจกต์นี้จริงๆ เพื่อแสดงละคร เพื่อซิงเกิลที่กำลังจะออก เพื่อคอนเสิร์ต เพื่อทุกอย่างที่ทุกคนจะจำเราได้อย่างดีที่สุดในช่วงเวลา 1 ปีนี้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์ เวลา 20.10 น ทางช่อง one31