TASTE: ‘Antito’ ชิมรสอาหารอิตาเลียนที่รังสรรค์จากวัตถุดิบไทย โดยเชฟจากร้านอาหารระดับมิชลิน

ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นปีทองของอาหารอิตาเลียน เพราะมีร้านใหม่ๆ ทยอยเปิดต้อนรับเหล่าฟู้ดดี้และผู้ช่ืนชอบพิซซ่า พาสต้า อย่างไม่ขาดสาย และมาถึงล่าสุดกับ ‘Antito’ ร้านอาหารอิตาเลียนที่ฉีกกฎบรรยากาศคลาสสิก แต่นำความสดใสมาอยู่ริมสระน้ำบนชั้น 14 ของโรงแรม Eastin Grand Sathorn

Antito ร้านอิตาเลียนน้องใหม่ที่ได้เชฟ Amerigo Sesti ชาวเบอร์กาโม ทางตอนเหนือของอิตาลี ซึ่งปัจจุบันเชฟเองยังควบตำแหน่งเชฟใหญ่ที่ J’AIME by Jean-Michel Lorain ห้องอาหารฝรั่งเศส 1 ดาวมิชลิน และมาเป็นเฮดเชฟครีเอตเมนูที่ห่างไกลจากไฟน์ไดนิ่งที่ Antito ซึ่งให้ความโฮมมี่เหมือนได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับครอบครัวอิตาเลียนที่แสนอบอุ่น

จากสกายวอล์ก กดลิฟต์ขึ้นมาที่ช้ัน 14 ร้านอาหารอยู่ชั้นเดียวกับสระว่ายน้ำ บรรยากาศสบายๆ บนพื้นที่กึ่งเอาต์ดอร์ จะนั่งรับลมเย็นริมสระ หรือขยับเข้าไปนั่งตากแอร์ด้านในก็ไม่มีใครว่า

และด้วยความที่เชฟชื่นชอบ Keith Haring, Andy Warhol และ Roy Lichtenstein จึงมีผลงานศิลปะป๊อปอาร์ตสีสันสดใสของศิลปินเหล่านี้ตกแต่งทั่วร้านเยอะเป็นพิเศษ

เมื่อถามเชฟ Amerigo ถึงความหมายของชื่อร้าน Antito เชฟอธิบายว่าคำนี้มาจาก Antipasti ซึ่งหมายถึงอาหารเรียกน้ำย่อยในภาษาอิตาเลียน และ Tito ซึ่งเป็นชื่อกลางของตัวเชฟ Amerigo นั่นเอง

อาหารอิตาเลียนที่ Antito นำเสนอหลากหลายเมนูและรสชาติจากทั่วภูมิภาคของอิตาลี แต่เน้นใช้วัตถุดิบในประเทศไทยกว่า 90% เพราะเชฟเชื่อว่ารสชาติและประสบการณ์สามารถส่งต่อได้ผ่านทักษะความรู้การครัวแบบอิตาเลียน โดยยังคงใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ อีกทั้งยังลดมลภาวะที่เกิดจากการขนส่งข้ามทวีป และด้วยเทคนิคกับประสบการณ์ของผู้ผลิตในไทยที่สั่งสมมานาน ก็ทำให้วัตถุดิบหรือส่วนผสมหลายอย่างที่ทำขึ้นในไทยมีคุณภาพที่ดีกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแค่ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ หรือเนื้อสัตว์ที่ใช้ของไทยเพียงอย่างเดียว หากแต่ชีสหรือโคลด์คัตก็ใช้จากผู้ผลิตในไทยด้วยเช่นกัน

Pork Tonne (330 บาท) เมนูรองท้องจานแรกมีกลิ่นอายฝรั่งเศสนิดหน่อย เพราะมาจากแคว้นปีดมอนต์ ซึ่งมีพรมแดนติดฝรั่งเศส หมูสันนอกหั่นบางคลุกกับเดรสซิ่งสูตรคุณแม่เชฟ คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนรับประทาน

ต่อด้วย The Cuttlefish Salad (380 บาท) อาหารภาคใต้ของอิตาลี โดยเฉพาะในแคว้นปุลยา และคาลาเบรีย จานนี้เป็นปลาหมึกกับสลัดซูกินีและแตงกวา ราดวินิเกรตต์เมล็ดเฟนเนล เมื่อรับประทานคู่กันยิ่งให้รสจัดจ้านขึ้นกว่าเดิม

ใครที่อยากกินพิซซ่าแต่ก็เบื่อพิซซ่าแบบเดิมๆ ลองมาชิม Pizza Fritta (390 บาท) พิซซ่าทอดที่มีถิ่นกำเนิดจากเนเปิลส์ เบสหน้าด้วยซอสมะเขือเทศสด ใส่ไส้กรอกอิตาเลียน พาร์เมซานชีส และผักร็อกเก็ต โดยแป้งผ่านการทอดกรอบก่อนจึงค่อยอบ สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน และทำให้ขอบพิซซ่ากินง่ายขึ้นกว่าเดิม

จานเส้นแนะนำ Spaghetti Aglio Olio & Seafood (380 บาท) อาหารประจำภาคใต้ของอิตาลีอีกจาน ใช้สปาเกตตีมันชินีเส้นแห้งผัดกระเทียม พริกแห้ง น้ำมันมะกอก และเลมอนกงฟี จากนั้นนำไปผัดกับกุ้ง ปลาหมึก ปลาแห้ง และซีฟู้ดประจำวันจากชาวประมงท้องถิ่น และเมื่อผัดได้ที่แล้วก็เหยาะน้ำปลาอิตาเลียนเพื่อเพิ่มรสชาติและความนัว

Pork Collar (690 บาท) เมนคอร์ส สันคอหมูท่ีผ่านการตุ๋นข้ามคืน ราดซอสไวน์แดงรีดักชัน และรับประทานคู่กับพิวเรมันฝรั่งกับแครอต ซึ่งแครอตที่ทำพิวเรนั้นผ่านการหมักกับส้มมาก่อน ทำให้พิวเรมีรสหวานและตัดเลี่ยนได้ดี

ส่งท้ายมื้อด้วยของหวานซิกเนเจอร์ Pineapple & Almond Cake (260 บาท) ซึ่งเชฟเลือกใช้สับปะรดเพราะเป็นผลไม้เมืองร้อนที่ให้ความสดชื่นและมีรสเปรี้ยวแกมหวานเช่นเดียวกับมะเขือเทศ เมื่อผสมในเนื้ออัลมอนด์เค้กแล้วให้ความฉ่ำและเปรี้ยวหวานกำลังดี อย่าลืมตักกินคู่กับไอศกรีมสับปะรดและซอสคาราเมล

พลิกเมนูเครื่องดื่ม แนะนำให้สั่งซิกเนเจอร์ค็อกเทลรสชาติสดชื่น จิบง่าย และเข้ากับสภาพอากาศเมืองร้อนเป็นที่สุด Caramella (350 บาท) รัมเบสค็อกเทลรสเบา แต่งเติมรสชาติด้วยเสาวรสและซอร์เบตเสาวรสที่ทำเป็นไอศกรีมแท่ง หรือจะเป็น Bravo (350 บาท) จินค็อกเทลที่เสิร์ฟในลูกมะพร้าว รสและกลิ่นหวานหอมชวนนึกถึงบรรยากาศชิลๆ รับลมริมทะเล

เชฟกล่าวเสริมว่า เร็วๆ นี้จะทำพาสต้าเส้นสด และจะเริ่มทดลองใช้แป้งไทยในการทำเส้นพาสต้าแทนแป้งอิตาเลียนดูบ้าง ใครที่อยากลิ้มลองพาสต้าอิตาเลียนรสชาติต้นตำรับที่ทำจากวัตถุดิบไทยเตรียมตัวรอได้เลย