×

ตาหวาน BNK48 เด็กกิจกรรม ความฝัน สายประกวดของไอดอลที่ดีดที่สุดในเวลานี้

24.02.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins read
  • ตาหวานเริ่มสะสมประสบการณ์แสดงออกต่อหน้าผู้คนมาตั้งแต่เด็ก โดยที่ไม่เคยปฏิเสธสักครั้งเมื่อมีคนชวนเธอขึ้นไปแสดง
  • ตาหวานฝันอยากเป็นไอดอลเหมือนศิลปิน K-Pop ที่ชื่นชอบ และพยายามเข้าประกวดแทบทุกรายการเพื่อพยายามเดินทางตามความฝันนั้น
  • ฟีดแบ็กของแฟนคลับหลายคน ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตจากตาหวาน ทำให้เธอรู้ว่าไอดอลที่เธอเคยฝันมีความหมายมากกว่าการแค่ขึ้นไปยืนสวยๆ ร้องเพลง เต้น และออกทีวีแบบที่เธอเคยคิด

จากเด็กสายกิจกรรมที่ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้งเมื่อมีคนชวนให้ขึ้นไปแสดงบนเวที ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล วันนี้ของ ด.ญ.อิสราภา ธวัชภักดี เด็กสาวตัวเล็กคนนั้น ค่อยๆ สะสมความรักในการแสดงออก และพัฒนาตัวเองจนกระทั่งได้มาเป็นตาหวาน BNK48 พร้อมกับตำแหน่ง ‘เอส’ ของวงที่ทุกคนพร้อมใจมอบให้เธอ

 

เช่นเดียวกับไอดอลอีกหลายคนที่เส้นทางไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก่อนจะมาถึงทุกวันนี้ ตาหวานเคยหอบความฝันในการเป็นศิลปิน ด้วยการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างหนัก ไปพร้อมๆ กับการเดินสายประกวดมาแล้วแทบทุกรายการเท่าที่เธอพอจะรู้จัก แต่โอกาสก็ยังไม่เคยตกเป็นของเธอ จนกระทั่งเธอวางเดิมพันครั้งสุดท้ายกับการออดิชันเป็นสมาชิกวง BNK48 และเธอก็คว้าความฝันนั้นมาครองได้สำเร็จ

 

ถึงแม้จะมีพื้นฐานดี เมื่อเทียบกับสมาชิกหลายคนในวง แต่ตาหวานก็ไม่เคยคิดใช้ข้อได้เปรียบนั้นในการหยุดพัฒนาตัวเอง เธอยังมองหาช่องทางเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จนกระทั่งเธอค้นพบอาวุธใหม่ ด้วยการขุดความสนุกสนานเกินร้อย ทั้งท่าเต้น การออกเสียง จังหวะจะโคนสายตลกที่เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ตลอดเวลา พร้อมรับตำแหน่ง ‘ไอดอลที่ดีดที่สุด’ ไปครองเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่งไร้ข้อสงสัย

 

 

จุดเริ่มต้นของความกล้าแสดงออกของตาหวานที่ทุกคนเห็นกันในทุกวันนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร

เป็นเด็กแสดงในงานโรงเรียนมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าเราชอบการร้อง การเต้นจริงๆ หรือเปล่า แต่ใครให้แสดงอะไรตาหวานไม่เคยปฏิเสธเลยนะ แล้วคุณแม่ชอบทางด้านนี้ ก็ส่งไปเรียนร้องเพลง เต้น รำไทย เราเชื่อฟังแม่ก็ไปเรียนแบบยังไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอเริ่มโตขึ้น จากสิ่งที่ต้องทำทุกวัน ซึมซับไปเรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นความสนุก เป็นความชอบ รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปร้องไปเต้นให้คนดู

 

จากที่เริ่มด้วยความสนุก กลายเป็นชอบเวลามองลงมาจากเวทีแล้วเห็นคนปรบมือ ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขกับสิ่งที่เราทำไปด้วย แล้วตอน ป.4 ตาหวานมีโอกาสได้ไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจตาหวานมาก เพราะได้อยู่ส่งเสด็จตอนพระองค์เสด็จกลับด้วย ทำให้เริ่มคิดมาตลอดว่าการแสดงนอกจากความสุขแล้วยังช่วยเปิดโอกาสให้เราได้หลายอย่างจริงๆ

 

นับเป็นตัวเลขคร่าวๆ คิดว่าจนถึงตอนนี้ตาหวานน่าจะผ่านมาประมาณกี่เวทีแล้ว

โอ้โห นับเป็นตัวเลขไม่ได้เลย ไม่นับตอนที่เป็น BNK48 แล้วกันนะคะ คิดง่ายๆ ปีหนึ่งอย่างน้อยๆ ต้องมี 20 งาน เริ่มมาตั้งแต่อนุบาลก็น่าจะมีหลักหลายร้อยอยู่เหมือนกันนะ เพราะเท่าที่จำได้ ตาหวานไม่เคยปฏิเสธเลยเวลามีคนเรียกให้ไปแสดงในงานอะไรก็ตาม

 

 

พอลงจากเวทีมาแล้ว ตาหวานที่อยู่ในห้องเรียนเป็นเด็กแบบไหน

ก็ตั้งใจเรียนเหมือนกัน ตาหวานได้เกียรติบัตรเรียนดีติดกันทุกปีจนถึงม.ปลายเลยนะ ตอนนั้นชอบเรื่องดวงดาว ดาราศาสตร์ อยากเป็นวิศวกรทำงานให้กับองค์การนาซา ก็เลยตัดสินใจเรียนสายวิทย์ แล้วพบว่าไม่ใช่อย่างที่คิด แล้วความฝันเกี่ยวกับดวงดาวก็หายไปตั้งแต่ตอนนั้นเลย (หัวเราะ) คือถามว่าเรียนได้ไหม ตาหวานเรียนได้นะ แต่มันไม่ได้มีความสุขอย่างที่เราคิด ถึง ม.4 ก็รู้ตัวเองว่าไม่เก่งเคมี พอขึ้นมา ม.5 ก็รู้ว่าไม่เก่งฟิสิกส์ แล้วพอถึง ม.6 ก็รู้ตัวว่าไม่เก่งชีวะ เอ๊ะ นี่เรามาทำอะไรตรงนี้นะ (หัวเราะ)

 

แล้วตอนนั้นก็มาพร้อมกับอีกความฝันหนึ่งคือการเป็นศิลปิน เพราะว่าชอบศิลปินเกาหลีมาก เราอยากเป็นแบบนั้น ก็ไปประกวดรายการที่หาเด็กไปเป็นศิลปินที่เกาหลี พยายามอยู่หลายปีก็ไม่ติด เริ่มมาคิดว่าตรงนี้คงยากเกินไปสำหรับเราจริงๆ แต่ว่าความชอบเกาหลียังไม่หายไปไหน ถ้าเป็นศิลปินไม่ได้ ทำงานด้านภาษาก็ยังดี ขอให้ได้ทำอะไรเกี่ยวกับเกาหลีเถอะ (หัวเราะ) ก็เลยตัดสินใจสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาเกาหลี มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อเรียนด้านนี้โดยตรง

 

ความฝันเรื่องการเป็นศิลปินเหมือนจะหยุดลงไปแล้ว พอมีประกาศออดิชัน BNK48 ตาหวานคิดทันทีเลยหรือเปล่าว่าจะต้องสมัครให้ได้

ไม่คิดแล้ว เพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่ตาหวานรู้สึกว่าจะจริงจังด้านภาษา แล้วดนตรีเป็นงานอดิเรกมากกว่า ตอนนั้นก็มีตั้งวงอะคูสติกกับเพื่อน แล้วรับร้องเพลงตามห้างสรรพสินค้า ตามงานต่างๆ แล้วก็มีฟอร์มวงเต้นคัฟเวอร์แข่งบ้าง รู้สึกว่าเราทำแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครเลย

 

แต่พอประกาศรับสมัคร มีเพื่อนมาบอกเพราะเห็นว่าเราชอบร้อง ชอบเต้น แล้วเหมือนความฝันกลับมา บอกตัวเองว่าจะให้การลองครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตาหวานไปออดิชันมาแทบทุกรายการ The Star, AF, The Voice อะไรมีให้ประกวดตาหวานไปหมด ไปจนคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ เลยขออีกแค่ครั้งเดียว แล้วตัดสินใจกดสมัครในวันสุดท้ายตอนที่จะหมดเวลารับสมัครอยู่แล้ว

 

 

พอได้เป็นไอดอลแบบที่เคยฝันเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง อาชีพนี้ตอบโจทย์ความฝันของเราได้อย่างที่คิดเลยไหม

มากกว่าที่คิดนะคะ โดยเฉพาะเรื่องแฟนคลับ จากคนที่ชื่นชอบศิลปินเกาหลีมาก ตามกรี๊ด ไปรับไปส่งที่สนามบิน แล้วมาวันนี้ก็มีคนมาชื่นชอบเราแบบนั้น แค่นี้ก็ดีมากแล้วนะคะ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ บางคนมาบอกว่าเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขามีชีวิตต่อ บางคนเครียดจนกินยาเกินขนาด แล้วบอกว่ากำลังพยายามรักษาตัวเองอยู่ เพราะเขาเห็นเราเป็นแสงสว่างในชีวิต หรือผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งเลิกกับแฟน กำลังเศร้ามาก ส่งข้อความมาบอกว่า ตาหวานอย่าเพิ่งแกรดฯ นะ ช่วยอยู่เป็นความสุขให้เราก่อน

 

โห เราเป็นใครถึงมีค่าในชีวิตของคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคำว่าไอดอลมันมีความหมายมากกว่าที่ตาหวานเคยคิดเอาไว้มาก เพราะฉะนั้นจะแค่ขึ้นไปยืนสวยๆ ร้องเพลง เต้น ออกทีวีอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องวางตัวให้ดี ต้องพยายาม ต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ เพื่อส่งต่อความสุขหรือแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างให้กับแฟนคลับที่กำลังติดตามเราอยู่

 

 

ยิ่งตาหวานคือคนที่ถูกเรียกว่า ‘เอส’ ของวงด้วย มันยิ่งกดดันและทำให้เราต้องพยายามมากขึ้นไปอีกด้วยไหม

กดดันนะ เพราะเอาจริงๆ ตาหวานไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเอสขนาดนั้น แต่พอถูกวางมาตรฐานเอาไว้สูงเลยมีความเครียดเหมือนกันว่า ตาหวานเป็นเอสนะ ต้องเต้นได้ดี ร้องดี ทำทุกอย่างได้ดี ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเราเป็นคนมีพื้นฐานเรื่องร้องเพลงกับเต้นมาก่อน กลายเป็นว่าภาพของการพัฒนาของเราจะเห็นได้น้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าเริ่มจากเต้นไม่ได้ แล้ววันหนึ่งเต้นได้ นั่นคือเขาขึ้นไปได้เลย แต่เราพยายามแทบตาย แต่กลายเป็นพัฒนาขึ้นมานิดเดียวเอง บางทีก็เคยคิดเหมือนกันว่าไอ้พื้นฐานที่เรามีมาก่อน สรุปแล้วมันคือข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันแน่ (หัวเราะ)

 

 

เคยกดดันถึงขนาดร้องไห้บ้างไหม

แต่ที่ร้องไห้ไม่ใช่เรื่องเศร้าอย่างเดียว บางทีเห็นเพื่อนได้เป็นเซ็นเตอร์แล้วดีใจกับเขา แค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องดีใจ ส่วนใหญ่ตาหวานจะไม่ได้ร้องเพราะเศร้า แต่จะร้องไห้เพราะเจ็บใจตัวเองมากกว่า เวลาซ้อมแล้วเราไม่สามารถทำได้ตามที่คิด คุณครูบอกว่าเราต้องพัฒนาให้ได้มากกว่านี้ บางทีก็จะร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังพยายามไม่พอ แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะยืนตรงนี้แล้ว เราก็ต้องสู้สิ สู้ต่อไป สักวันต้องมีวันของเรา

 

ตาหวานเชื่อในคำพูดที่ว่า ‘ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้’ เรารู้ว่าทำได้แค่ไหน ก็ทำให้สุดเท่านั้น ตาหวานเคยเรียนว่ายน้ำ เป็นนักกีฬา แต่รู้ว่าเพื่อนเก่งมากๆ ไม่มีทางสู้ได้เลย เราก็แค่ว่ายน้ำของเราไป ไม่ต้องไปคิดว่าจะเป็นอันดับ 1 ของโรงเรียน รู้ว่าเราไม่เก่งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ก็พยายามให้ดีที่สุดที่เราสามารถผ่านไปได้ ไม่ต้องไปตั้งความหวังว่าจะได้เต็ม เรื่องร้องเรื่องเต้นเราก็คิดเหมือนกัน เราทำให้เต็มศักยภาพของเราที่สุด ไม่ต้องไปตั้งความหวังว่าจะต้องได้อย่างนู้นอย่างนี้ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ พอไม่คาดหวังมาก และเรารู้ว่าเราทำได้ดีที่สุดเท่านั้นจริงๆ เราก็จะไม่เสียใจหรือผิดหวังไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแบบไหนก็ตาม

 

 

แน่นอนว่าตำแหน่งเอสต้องถูกคนอื่นเปรียบเทียบอยู่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าพูดเฉพาะตัวของตาหวานอย่างเดียว ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ คนอื่นมากขนาดไหน

ไม่ค่อยนะคะ พยายามโฟกัสกับพาร์ตหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน แต่ถามว่ามีไหม ก็มีบ้างที่เราแอบมองคนอื่นว่าเขาทำอะไรกันอย่างไรบ้าง แต่เป็นการมองที่ไม่ได้อิจฉานะ เราชื่นชมเวลาเห็นเพื่อนแสดงออกได้ดี บางครั้งเราก็ดูเขาว่าคนนี้มีข้อดีตรงไหน มีอะไรที่เราสามารถเอามาปรับใช้ให้เข้ากับตัวของเราได้บ้าง เพราะเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ อะไรที่ทำให้เราดีขึ้นได้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำอยู่แล้ว

 

ช่วงหลังๆ แฟนคลับจะพูดเหมือนกันหมดว่าตาหวาน ‘ดีด’ ขึ้นมากๆ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตัวเองด้วยหรือเปล่า

หลายๆ อย่างรวมกัน แต่ที่ดีดนั่นก็ส่วนหนึ่งด้วย (หัวเราะ) แต่มันไม่ใช่การพยายามเพื่อที่จะทำให้คนสนใจแบบนั้นนะคะ ตาหวานเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเอามาใช้ จนเริ่มสังเกตว่าเวลาเราดีดๆ บ้าๆ บอๆ แล้วคนจะชอบกัน ก็เลยเอามาใช้เป็นกิมมิกในการแสดงแบบหนึ่ง พอทำไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสนุกเพราะมันคือสิ่งที่เราชอบ แล้วคนก็ชอบในสิ่งที่เราเป็น ก็เลยลากยาวเลย

 

แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น ยังรวมไปถึงเรื่องการทำอาหารมากขึ้น อันนี้ตาหวานชอบทำอาหารอยู่แล้ว แต่เวลาทำจะลืมนึกว่าควรถ่ายให้คนดูด้วย ก็เลยลองเริ่มด้วยการตำน้ำพริกออก VOOV ไปเลย คนก็บอกว่า เออดี เป็นมิติใหม่ของการไลฟ์ที่มีไอดอลมาทำน้ำพริกให้ดูสนุกสนานกันไป

 

สิ่งหนึ่งที่ตาหวานเรียนรู้คือ จริงๆ การเป็นไอดอลไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแบบที่คนชอบ แต่หมายถึงการดึงตัวตนบางอย่างของตัวเองออกมา แล้วมีคนชอบในตัวตนแบบนั้นของเรามากกว่า

 

 

เริ่มต้นชอบการทำอาหารมาตั้งแต่เมื่อไร

เริ่มจากการเป็นลูกมือคุณแม่เข้าครัวมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้นมาก็ค่อยๆ ซึมซับ อยากทำอาหารเป็นบ้าง จะได้มีเสน่ห์ปลายจวักติดตัวเอาไว้ (หัวเราะ) พยายามจำจากที่คุณแม่ทำมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าครัวเองครั้งแรกตอนวันแม่สักปีหนึ่ง แม่ต้องออกไปทำธุระข้างนอก แล้วจะกลับมาทำอาหารให้กินตามปกติ แต่วันนั้นบอกคุณแม่ว่าไม่ต้อง เดี๋ยววันนี้จะทำให้กินเอง เมนูแรกคือแกงเขียวหวานไก่ยังจำได้อยู่เลย แล้วก็เริ่มต้นเข้าครัวแบบจริงจังตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising