จากข่าวลือที่สร้างความปั่นป่วนให้กับวงการยานยนต์ไทยว่า ‘ซูซูกิจะปิดแบรนด์’ และทิ้งเมืองไทยไป โดยผู้ใช้งานท่านหนึ่งอ้างข้อมูลการปิดโชว์รูมและกล่าวว่า ‘ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จะเลิกกิจการ’ ทำให้ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ต้องออกแถลงการณ์อย่างเร่งด่วนว่า “จะยังคงอยู่ทำตลาดในประเทศไทยต่อไป ไม่หายไปไหน”
แต่แล้ว ระยะเวลาห่างกันไม่นาน ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ก็ได้ออกแถลงการณ์อีกครั้ง สร้างความตกใจให้แก่แฟนคลับชาวไทย ด้วยการประกาศว่า ‘จะยุติกิจการของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยในสิ้นปี 2025’
มันเกิดอะไรขึ้น อย่างไร เหตุใดซูซูกิจึงต้องดำเนินการกระชากจิตใจชาวไทยเช่นนี้!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Subaru ยังอยู่! ปิดโรงงานไทย แต่ไม่ปิดแบรนด์ สัญญาณเตือนรัฐบาลไทย สิ้นสุดยุคประกอบรถในประเทศ?
- ถอดบทเรียน GM ปฏิบัติการตัดเนื้อร้าย รักษาเนื้อดี เบื้องหลัง Chevrolet โบกมือลาตลาดเมืองไทย
- เป็นไปได้แค่ไหนที่ Nissan จะ ‘ซ้ำรอย’ Chevrolet อำลาตลาดไทย
เริ่มต้นด้วย ‘อีโคคาร์’
ขออนุญาตเท้าความถึงการเข้ามาทำตลาดของ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กันเป็นลำดับแรก โดยย้อนกลับไปในช่วงราวปี 2010 ที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือ ‘อีโคคาร์’ ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี
และหนึ่งในนั้นได้เชิญ ซูซูกิ มอเตอร์ เข้ามาลงทุนภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลผ่านโครงการดังกล่าว ซึ่งมีการตั้งบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ขึ้นที่จังหวัดระยอง
ทั้งนี้ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ดำเนินกิจการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีรถยนต์ที่ผลิตภายใต้โครงการอีโคคาร์ทั้งเฟสหนึ่งและเฟสสองจำนวน 3 รุ่น ได้แก่ Swift, Ciaz และ Celerio ที่สามารถทำยอดขายเติบโตตามวัฏจักรของการจำหน่ายรถยนต์ได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งถึงปี 2023 ที่ทั้ง 3 โมเดลดังกล่าวเข้าสู่ช่วงปลายอายุของการทำตลาด
ซึ่งโดยปกติจะต้องมีข่าวการเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่ามีเพียงการลดราคาล้างสต็อกในรุ่น Ciaz และ Celerio แทน อันเป็นเหตุให้หลายคนเกิดข้อสงสัย ก่อนที่แถลงการณ์จะถูกเปิดเผยในเวลาอีกไม่นาน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ต้องตัดสินใจแบบนั้นเราวิเคราะห์แล้วมีดังนี้
เจาะเหตุผลที่ไม่ไปต่อ
เหตุผลแรก สิ้นสุดโครงการอีโคคาร์ ด้วยในปี 2025 การสนับสนุนของรัฐบาลในโครงการอีโคคาร์จะสิ้นสุดลง ซึ่งจะทำให้รถยนต์ที่ผลิตในโครงการดังกล่าวนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป ส่งผลให้ราคาจะสูงขึ้นจากปัจจุบันทันทีในระดับ 30,000-50,000 บาทต่อคัน กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันที่รุนแรงในเวลานี้
ประการต่อมา หลังการหารือที่ญี่ปุ่นกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเสร็จสิ้น รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันสนับสนุนโครงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีโครงการอีโคคาร์เฟสสาม รวมถึงไม่มีการส่งเสริมรถไฮบริดเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าบีบให้ค่ายรถญี่ปุ่นต้องลงทุนก้อนใหม่สำหรับโครงการผลิตรถอีวี
ประการถัดไป ตลาดรถยนต์ไทยกำลังหดตัว ด้วยปัจจัยหลากหลายด้านทั้งเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมาก ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การประเมินสภาพตลาดมีความยากเป็นทวีคูณ
รวมถึงเหตุผลด้านต้นทุนการผลิต ที่ต้องยอมรับว่าค่าแรงขั้นต่ำของไทยมีผลต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง เมื่อซูซูกิมีโรงงานอยู่แล้วทั้งในอินโดนีเซียและอินเดีย รวมถึงญี่ปุ่น ทำให้เมื่อต้องบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสม ทางเลือกในการปิดโรงงานบางแห่งเปรียบเหมือนตัดนิ้วเพื่อรักษาร่างกายเอาไว้ จึงจำเป็นต้องทำ
ขณะเดียวกัน จากการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการของ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ในช่วงระยะเวลา 10 ปีหลังสุด เราได้เห็นตัวเลขการขาดทุนสะสมสูงถึงระดับ 2,000 กว่าล้านบาท ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลเชิงบวกในการสนับสนุนให้ซูซูกิยังคงการผลิตในประเทศไทยเอาไว้
อนาคตซูซูกิในไทย
หลายคนจะห่วงว่าแล้วในท้ายที่สุดซูซูกิจะหนีจากเมืองไทยไปเหมือนกับเชฟโรเลต คำพยากรณ์ของผู้เขียนขอทายว่าไม่หนีหายไปไหนในห้วงเวลาสิบปีนับจากนี้แน่นอน
ด้วยแผนงานต่างๆ ที่วางเอาไว้แล้ว ทั้งแผนการนำเข้ารถจากอินโดนีเซียที่ได้รับการยกเว้นอากรนำเข้า ราคาจะเท่ากับรถที่ผลิตในไทย
ซึ่งจุดนี้คือความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของซูซูกิกับเชฟโรเลต เนื่องจากเชฟโรเลตไม่มีแผนการทำตลาดรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ตรงข้ามกับซูซูกิที่มีการนำเข้ามาทำตลาดอยู่แล้วจึงเป็นการเพิ่มรุ่นที่นำเข้ามา ลดภาระในเรื่องของการบริหารจัดการโรงงานออกไป ทำให้คล่องตัวในการดำเนินกิจการมากขึ้นอีกด้วย เพียงแค่อาจจะต้องรอรถนานและการควบคุมคุณภาพอาจจะยังสู้เมืองไทยไม่ได้
โชว์รูมและศูนย์บริการของซูซูกิจะยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่าจำนวนรุ่นรถที่ขายและบริการการขายอาจจะน้อยลง ทำให้มีบางโชว์รูมที่ยอดขายน้อยไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ก็จะปิดตัวลงหรือหันไปขายยี่ห้ออื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจโดยทั่วไป ไม่มีใครทนขายของขาดทุนตลอดไปได้
ส่วนเรื่องของอะไหล่ ตามกฎหมายจะต้องมีการสำรองอะไหล่เริ่มต้นนับหลังจากรถคันสุดท้ายขายออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี ฉะนั้นลูกค้าซูซูกิทุกคนจึงเบาใจได้ในระดับหนึ่ง
ประเด็นสำคัญประการสุดท้าย หลายคนน่าจะสงสัยว่าหาก ‘ซูบารุ’ คือโดมิโนตัวแรก แล้ว ‘ซูซูกิ’ คือโดมิโนตัวที่สอง แล้วแบรนด์ใดจะจากไปเป็นโดมิโนตัวที่สาม…คำตอบ…ต้องรอลุ้นกันต่อไป
ภาพ: Supermop, Bigc Studio, UM-UMM / Shutterstock