สงครามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในวงการซูชิของไทยกำลังปะทุขึ้นอย่างดุเดือด เมื่อเครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง Sushiro และ Hama Sushi ต่างกระโจนเข้าใส่ตลาดเพื่อต่อกรกับผู้เล่นในท้องถิ่น รวมถึงร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven โดยมีเป้าหมายเพื่อพิชิตใจผู้บริโภคชาวไทยที่เริ่มหลงใหลในวัฒนธรรมการกินนี้จากการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น
Nikkei Asia รายงานว่า Hama Sushi ร้านซูชิสายพานภายใต้การบริหารของ Zensho Holdings ได้เปิดสาขาแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า บรรยากาศวันแรกเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยมีผู้คนรอคิวอย่างน้อย 900 คนเลยทีเดียว
“ทุกอย่างดีมาก มันคุ้มค่ากับการรอคอย” ลูกค้าหญิงวัย 20 ปีรายหนึ่งกล่าวถึงประสบการณ์การทานอาหาร ร้านขนาด 125 ที่นั่งแห่งนี้เสิร์ฟซูชิกว่า 80 รายการ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 40 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงกว่าในญี่ปุ่นเล็กน้อย แต่ยังคงดึงดูดลูกค้าได้มหาศาล
Tomoyoshi Nishijima กรรมการผู้จัดการบริษัทลูกของ Zensho ในไทย กล่าวในพิธีเปิดว่า “เราต้องการเป็นหนึ่งในร้านซูชิที่คนไทยเลือก” โดยทางแบรนด์มีแผนที่จะเปิดสาขาที่สองในพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ ในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชนร้านอาหารญี่ปุ่นได้ทยอยตบเท้าเข้าสู่ตลาดซูชิในไทยอย่างต่อเนื่อง นำทัพโดย Food & Life Companies ผู้บริหารแบรนด์ Sushiro ที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2021 และกำลังขยายเครือข่ายสาขาในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดเอเชียเป็นหลักเนื่องจากเล็งเห็นถึงผลกำไรที่คาดว่าจะสูงลิ่ว
รายได้ของธุรกิจ Sushiro ในต่างประเทศสำหรับปีสิ้นสุดเดือนกันยายนอยู่ที่ 1.314 แสนล้านเยน (ประมาณ 2.75 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้เกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของรายได้ในญี่ปุ่น ทั้งที่มีสาขาเพียง 239 แห่ง หรือประมาณหนึ่งในสามของจำนวนสาขาในบ้านเกิดเท่านั้น
กำไรจากการดำเนินงานในต่างประเทศสูงถึง 2.03 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 4.26 พันล้านบาท) ซึ่งใกล้เคียงกับกำไรในประเทศที่ 2.59 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 5.43 พันล้านบาท) โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานในต่างประเทศอยู่ที่ 15% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขในญี่ปุ่นที่ทำได้ 10% สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการทำเงินในตลาดโลก
แหล่งข่าวจาก Food & Life Companies ระบุว่า ประเทศไทยซึ่งมีร้าน Sushiro เปิดให้บริการแล้ว 41 สาขา ถือเป็น ‘ตลาดที่ทำกำไรได้มากที่สุด’ ในโลกสำหรับธุรกิจนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ด้านราคา โดยราคาในไทยอยู่ระหว่าง 30 ถึง 100 บาทต่อจาน เมนูยอดนิยมอย่างทูน่าและแซลมอนมีราคา 40 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาขายในญี่ปุ่น
บริษัทได้วางระบบการจัดหาวัตถุดิบจำนวนมากเพื่อคงความสดใหม่และคุณภาพของซูชิ นอกจากนี้ ระบบสายพานลำเลียงอาหารที่ Sushiro เพิ่งยกเลิกไปในญี่ปุ่น กลับถูกนำมาใช้ในไทยและสร้างความบันเทิงในการรับประทานอาหารที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ควบคู่ไปกับการใช้จอสัมผัสสั่งอาหารเพื่อลดต้นทุน
แม้ว่าร้าน Sushiro ในไทยจะตั้งอยู่ในย่านการค้าขนาดใหญ่ในเมืองเป็นหลัก แต่บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดพื้นที่รอบนอกมากขึ้นในอนาคต Hiromitsu Kato รองประธานบริหารกล่าวว่า “มันคงน่าสนใจที่จะเปิดร้านในพื้นที่ต่างจังหวัดพร้อมลานจอดรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคยทำในต่างประเทศ”
ในขณะที่แบรนด์ญี่ปุ่นกำลังหลั่งไหลเข้ามา บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก็กระโดดร่วมวงเทรนด์นี้ด้วยการเปิดร้านซูชิภายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven บางสาขาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับ Uoriki ผู้ค้าปลีกปลาสดจากญี่ปุ่น
CP Group ใช้วัตถุดิบปลาที่ส่งตรงจากตลาดโทโยสุในโตเกียวและแหล่งอื่นๆ เพื่อให้บริการทั้งแบบซื้อกลับบ้านและทานที่ร้าน โดยตั้งเป้าที่จะขยายโมเดลนี้ไปยัง 7-Eleven และร้านค้าอื่นๆ ให้ครบ 59 แห่งภายในสิ้นปี ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 60% จากจำนวนปัจจุบัน
ความนิยมของซูชิในไทยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาระบบระบบขนส่งควบคุมอุณหภูมิ (cold-chain) Kenichi Shimomura จาก Roland Berger กล่าวว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การกระจายสินค้าปลาสดให้มีคุณภาพสม่ำเสมอสามารถทำได้จริงแล้ว” จากการลงทุนของบริษัทอาหารรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
แม้ซูชิราคาประหยัดจะมีขายทั่วไปในรูปแบบสตรีทฟู้ดมานานแล้ว แต่วัตถุดิบมักไม่สดใหม่นัก การพัฒนาคลังสินค้าแช่เย็นและแช่แข็งจึงช่วยยกระดับคุณภาพขึ้นอย่างมาก โดยปลาแซลมอนได้รับความนิยมสูงสุดในไทย เนื่องจากกลิ่นคาวน้อยกว่าปลาชนิดอื่น ถูกปากคนไทยที่ไม่คุ้นชินกับการกินปลาดิบ
“ไลน์สินค้าของบริษัทญี่ปุ่นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่ชอบรสชาติจัดจ้านได้เป็นอย่างดี” Shimomura กล่าวเสริม โดยเมนูซูชิหน้าชีสและราดมายองเนสก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน
รายงานจาก JTB Tourism Research & Consulting ระบุว่าไทยติดอันดับ 6 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปญี่ปุ่นในปี 2024 ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวอย่างหนาแน่นนี้ได้จุดประกายความต้องการรสชาติอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับเมื่อกลับมาถึงบ้าน
Hiromi Yamaguchi ผู้จัดการฝ่ายวิจัยจาก Euromonitor กล่าวทิ้งท้ายถึงสถานการณ์นี้ว่า การขยายตัวของบริษัทญี่ปุ่นหมายความว่า “การแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต รวมถึงการแข่งขันกับผู้เล่นท้องถิ่นในไทยด้วย”
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 เยน เท่ากับ 0.21 บาท ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2568
ภาพ: Ham patipak / Shutterstock
อ้างอิง:


