×

แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ระบายความสุข ความตื่นเต้นถึง Summer Sonic, Toy’s Factory และอัลบั้ม Ekamai Dream 1

30.06.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • “ผมที่ไม่ใช่คนอินเตอร์อะไร ผมไม่ได้เป็นเด็กจบนอก ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ผมมาจากบางกะปิ ช่วงแรกก็เลยมีแต่คนสงสัยว่าทำอัลบั้มเพลงสากลไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคุ้มมากเลยครับที่ได้ทำ” 
  • Ekamai Dream 1 คือชื่ออัลบั้มเปิดตัวของ แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ในฐานะศิลปินในสังกัด Toy’s Factory ค่ายเพลงชื่อดังระดับท็อปของประเทศญี่ปุ่น ที่จะเริ่มต้นวางจำหน่ายวันที่ 7 สิงหาคมนี้  
  • ขณะเดียวกันเขาก็เพิ่งปล่อยซิงเกิลแรกอย่าง Bangkok Summer ออกมาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ก่อนที่การเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตอันน่าตื่นเต้น ณ ประเทศญี่ปุ่นของเขาจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนกันยายนนี้  
  • นอกจากนี้เขายังเป็นศิลปินไทยที่จะได้ขึ้นโชว์ใน Summer Sonic 2019 เทศกาลดนตรีเบอร์ต้นๆ ของเอเชียและของโลกที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้อีกด้วย สำคัญที่สุด ถึงแม้จะเคยโชว์ให้แฟนเพลงชาวญี่ปุ่นชมมาหลายครั้ง แต่ Summer Sonic ถือเป็นเวทีที่น่าตื่นเต้นสำหรับแสตมป์ เพราะเขาเป็นแฟนตัวยงของเทศกาลนี้ ถึงขนาดบอกว่านี่เป็นเทศกาลดนตรีที่เขาชอบมากที่สุด และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ตนเองกำลังจะได้ขึ้นโชว์   
  • เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งสองเรื่องถือว่าเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยม หลังจากเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางดนตรีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ออกอัลบั้มเพลงสากล STAMP STH ไปเมื่อปี 2017 ซึ่งในฐานะศิลปิน เขาได้ออกเดินทางแสดงสดและค่อยๆ สร้างฐานแฟนเพลงไว้ที่ประเทศญี่ปุ่นมาตลอดหลายปี

“ผมที่ไม่ใช่คนอินเตอร์อะไร ผมไม่ได้เป็นเด็กจบนอก ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ผมมาจากบางกะปิ ช่วงแรกก็เลยมีแต่คนสงสัยว่าทำอัลบั้มเพลงสากลไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคุ้มมากเลยครับที่ได้ทำ” 

 

แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลงหนุ่มเลือดไทย เล่าแบบยิ้มๆ พาย้อนกลับไปวันที่เขาตัดสินใจจะเริ่มต้นทำอัลบั้มเพลงสากล STAMP STH (2017) ความฝันที่บางคนอาจไม่เชื่อและไม่เก็ตว่าทำแล้วจะออกเวิร์กหรือไม่ 

แต่วันนี้หลังจากเขาเผยข่าวดีเกี่ยวกับ Ekamai Dream 1 งานสตูดิโออัลบั้มแรกในสังกัด Toy’s Factory ค่ายเพลงชื่อดังระดับท็อปของประเทศญี่ปุ่น ที่น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อ ความฝัน ความสนุกของเขาได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเลือกเส้นทางไม่ผิด สำคัญที่สุด! นาทีนี้ดูเหมือนว่า STAMP STH จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการผจญภัยใหม่ๆ เพราะเราเชื่อว่านับจากนี้จะยังมีเรื่องน่าตื่นเต้น ท้าทาย และประสบการณ์ใหม่ๆ รอคอยเขาอยู่ข้างหน้าอีกเพียบ! ยกตัวอย่างเร็วๆ ตอนนี้ เฉพาะโชว์แรกใน Summer Sonic 2019 ก็ทำให้แสตมป์ตื่นเต้นจนอดทนรอแทบไม่ไหวแล้ว!

 

ต้องยอมรับอย่างสัตย์จริงเลยนะว่าตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกของผมจนถึงเพลงไทยล่าสุด ผมทำเพื่ออยากจะให้มันเข้าถึงผู้ฟังได้ แต่กับอัลบั้มเพลงสากลมันคือศูนย์ ผมทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ผมรู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อยมันออกไป และผมมีความสุขกับการทำเพลงมากขึ้น   

 

 

ข่าวล่าสุดกับค่ายเพลง Toy’s Factory น่าตื่นเต้นมาก แต่ซิงเกิลเพลงไทยล่าสุด ทั้งจำทั้งปรับ เองก็ฟีดแบ็กดีมาก ถ้าอย่างนั้นเริ่มต้นจากย้อนไปเล่าที่มาที่ไปของเพลงนี้ให้ฟังหน่อย 

เริ่มจากว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมหายจากวงการเพลงไป ไม่ค่อยเก็ตเพลงใหม่ๆ จนกระทั่งมีแอปฯ สตรีมมิงอย่าง Joox, Apple Music, TrueID หรือ Spotify เข้ามา ผมก็เลยมีโอกาสได้ตามเพลงใหม่ๆ แล้วก็พบว่ามันมีเพลงแนวหนึ่งที่เราไม่เข้าใจเลยว่ามันเพราะยังไงคือแนว Mumble Rap แบบ Lil Pump แต่ด้วยจรรยาบรรณของนักแต่งเพลง ผมเลยต้องพยายามที่จะเข้าใจมันให้ได้ 

 

(**Lil pump หรือชื่อจริง Gazzy Garcia แรปเปอร์เชื้อสายเม็กซิกัน-คิวบา ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดแรปเปอร์รุ่นใหม่แห่งยุค เขาแจ้งเกิดและโด่งดังจากเพลง Boss ที่เจ๋งจนได้รับแผ่นเสียงทองคำจาก RIAA (The Recording Industry Association of America) ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกจากเพลง Gucci Gang ที่ติดอยู่ในชาร์ต Billboard Top 100 นานถึง 24 สัปดาห์) 

 

 

จนวันหนึ่งผมได้ดูหนังเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งซาวด์แทร็กมันเป็นดนตรีแบบ Mumble Rap เยอะๆ ทีนี้พอมันมีภาพเข้ามา เราเริ่มรู้สึกเข้าใจ ผมก็เลยอยากจะลองทำเพลงของตัวเองให้เป็นบีตนี้ดูบ้าง ก็ค่อยๆ พัฒนาโดยเริ่มต้นจากบีตกีตาร์ท่อนหนึ่งที่ผมเป็นคนแต่ง แล้วหลังจากนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากใครหลายคน

 

เริ่มต้น กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เขาก็เป็นคนแนะนำ NINO (นีโน่-เกริก ชาญกว้าง โปรดิวเซอร์และผู้ร่วมก่อตั้งค่าย Yupp! นักทำบีตที่กำลังโด่งดังที่สุดในเวลานี้) ซึ่งนีโน่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ฮิปฮอปที่ดังมาก เรียกว่าทำเพลงอะไรก็ดังหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเพลงของ OG-ANIC, YOUNGOHM ฯลฯ ผมก็เลยเอาริฟฟ์ไปให้นีโน่ฟัง จนสุดท้ายก็ได้พาร์ตดนตรีของเพลงนี้ออกมาจากการทำงานด้วยกันที่บ้านของเขา แต่ยังไม่ได้เนื้อเพลง 

 

จนกระทั่งมีวันหนึ่งผมไปนั่งเฝ้าน้าที่โรงพยาบาล แล้วอยู่ๆ ก็ไปอ่านข่าวเกี่ยวกับการเมืองที่มีการใส่ร้ายป้ายสีกัน แล้วมันก็มีคำว่า ‘ทั้งจำทั้งปรับ’ โผล่มา อ่านปุ๊บเราก็รู้สึกว่าคำนี้มัน swag ดีเว้ย ฟังแล้วดูฮิปฮอปดี แล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงสอนใจได้ บวกกับหลายๆ เรื่องในชีวิตตอนนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพอโตมาประมาณหนึ่ง เราถึงคิดได้ว่า 

 

แหม น่าจะคิดอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว 

เราน่าจะเลิกสนใจเรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว 

น่าจะเลิกคุยกับคนนี้มาตั้งนานแล้ว

 

แต่ผมเพิ่งมาทำได้ตอนโต ผมก็เลยคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันน่าจะเกี่ยวกันได้นะ คือตอนเด็กๆ เราชอบเจ็บ ชอบผิดพลาดกับสิ่งเดิมๆ แต่เราก็ยังทำมันซ้ำๆ ยกตัวอย่าง เราชอบสนใจคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ต ถึงแม้ว่าอ่านแล้วจะทำให้เราเจ็บปวด แต่เราก็ยังเลิกอ่านไม่ได้สักที ไม่รู้ทำไม (หัวเราะ) แต่พอโตขึ้น ชีวิตเรามีอะไรมากมาย จนวันหนึ่งเราคิดได้ว่า เฮ้ย ไหนลองตัดมันออกไปดูสิ ลองปรับปรุงตัวเองไม่ให้อยู่กับวังวนเดิมๆ 

 

ซึ่งพอเราเอามันมาใช้ในชีวิตจริง เฮ้ย มันดีเว้ย เพื่อนบางคนที่คบแล้ว toxic มาก แต่เราก็ยังพยายามจะคบเขาให้ได้ แต่มาคิดดูตอนนี้ เอ๊ะ เราไม่ต้องคบเขาก็ได้นี่ เราไม่ได้เกลียดกันนะ เราแค่ถอยห่างออกมา 

 

หรืองานบางอย่างที่เราเคยทำแล้วไม่มีความสุขมากๆ เลย แต่เรากลัวจะเสียโอกาสไป ถ้าอย่างนั้นลองไม่ทำก็ได้นี่ เดี๋ยวมันก็มีโอกาสอื่นมา เรื่องเหล่านี้ล่ะที่ผมมองว่าน่าจะใส่มันลงไปได้ในเนื้อหาของเพลง ทั้งจำทั้งปรับ ว่าต่อจากนี้เราจะไม่ทำสิ่งที่ทำให้เราเจ็บ 

 

 

ตอนเด็กๆ เราชอบเจ็บ ชอบผิดพลาดกับสิ่งเดิมๆ แต่เราก็ยังทำมันซ้ำๆ ยกตัวอย่าง เราชอบสนใจคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ต ถึงแม้ว่าอ่านแล้วจะทำให้เราเจ็บปวด แต่เราก็ยังเลิกอ่านไม่ได้สักที ไม่รู้ทำไม

 

การร่วมงานกับศิลปินรุ่นน้องอย่าง ยังโอม กับกานต์ The Parkinson เองก็เป็นส่วนผสมที่สนุกมากด้วย  

ใช่ครับ จริงๆ คือผมนึกถึงยังโอมเพราะชอบ เคยดู Rap is Now แล้วรู้สึกว่าคนนี้ฉลาด แต่ก็ไม่กล้าไปกวนเขา แต่พอผมส่งบีตของเพลงนี้ไปให้ กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ฟังเท่านั้นแหละ กอล์ฟมันก็บอกกลับมาว่าต้องยังโอมเท่านั้น แล้วเขาก็จัดการโทรไปหายังโอม บอกว่าพี่แสตมป์เขาอยากให้มาแรปให้ ซึ่งน้องเขาก็ตอบตกลง ยินดีมาร่วมงานด้วย แล้วผมก็ดีใจมาก 

 

ส่วนกานต์เนี่ย ผมสนิทกับน้องมาก เขาเป็นคนเก่งมาก น่ารักมาก นิสัยดีมาก ช่วงหลังๆ ผมเลยมีโอกาสได้ร่วมงานกับกานต์ตลอด คือต้องย้อนไปเล่าว่าผมเคยเล่นคอนเสิร์ตกับกานต์ แล้วผมก็ให้กานต์ร้องเพลงที่ผมแต่งคือ ให้ตายสิพับผ่า กับ สบู่ ผลที่ออกมาคือเขาร้องเพราะกว่าผมเยอะมาก (หัวเราะ) หลังๆ ผมก็เลยมักจะให้กานต์ช่วยร้องไกด์ให้ เพลง ทั้งจำทั้งปรับ ก็เช่นกันครับ ผมก็ส่งเพลงนี้ไปให้กานต์ กานต์ก็ร้องไกด์กลับมา โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า 

 

ร้อง ร้องเท่าไรก็คงไม่พอ หากสมองไม่เคยจำ

เสีย คงต้องเสียใจต่อไปทุกวัน หากเรายังไม่ยอมเปลี่ยน

ถึงเวลาสักที ที่ฉันต้องไปเริ่มใหม่

หายใจเพื่อตัวเอง และอยู่เองให้ไหว

สลักลงแขน เขียนให้ซึมไปถึงหัวใจ…

 

 

พอฟังแล้วผมรู้สึกว่าผมร้องยังไงก็ไม่เพราะเท่าเขาแน่ๆ ผมก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นท่อนนี้ให้กานต์ร้องไปเลย สุดท้ายเพลง ทั้งจำทั้งปรับ มันก็เลยเป็นการฟีเจอริงด้วยกันระหว่างผมกับน้องสองคนนี้

 

จริงๆ หลายปีมานี้แสตมป์ได้ร่วมงานกับศิลปินอื่นๆ ทั้งไทยและต่างประเทศเยอะมาก แล้วงานก็ออกมาสนุกทั้งนั้นเลย อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้แสตมป์อยากจะไปร่วมงานกับใครสักคนหนึ่ง 

ผมรู้สึกว่า input ของผมมันมีจำกัด อย่างผมเติบโตมาในยุค 90 ผมก็จะมีชุดเพลงที่ฟัง มีลิสต์เพลงของผมอยู่ และไม่ว่าเราจะยัดเพลงใหม่เข้าไปยังไง มันก็ทดแทนสิ่งเหล่านั้นยาก

 

อย่างตอนนั้นมันก็จะเป็นยุคอัลเทอร์เนทีฟ สับกีตาร์กันแหลก ฉะนั้นถ้าเรื่องบีต เรื่องริทึม ผมก็จะมีน้อยกว่าเด็กพวกนี้มาก เพราะเด็กพวกนี้เติบโตมากับเพลงที่มีบีตเป็นหลัก ผมก็เลยรู้สึกว่าการที่เรา collaborate กับคนที่โตมาในอีกยุคหนึ่งหรือเสพเพลงมาอีกแบบหนึ่ง มันช่วยเพิ่มสิ่งที่เราไม่ได้เสพให้มาอยู่ในเพลงของเราได้ ซึ่งมันก็ทำให้เพลงของเราไม่ตาย หรือฟังแล้วรู้สึกว่าเพลงเป็นแบบนี้อีกแล้วเหรอวะ แค่นั้นเอง

 

 

วันหนึ่งมันมีสตรีมมิงเกิดขึ้น มีโหมดเทรนด์เพลย์ลิสต์ที่บอกเราว่าตอนนี้ศิลปินเหล่านี้กำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่นะ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้ลองฟัง เราได้อัปเดต เรากลับมาตามทันอีกครั้งว่า อ๋อ เด็กสมัยนี้เขาฟังอะไรกันบ้าง

 

ย้อนกลับไปตรงที่บอกว่าเคยไม่เก็ตกับเพลงใหม่ๆ ไปช่วงหนึ่ง แล้วพอกลับมาฟังก็พบว่ามีเพลงที่เราไม่รู้จักเต็มไปหมดเลย น่าคิดเหมือนกันว่าภาวะแบบนี้เรียกว่าเชยแล้ว แก่ขึ้นแล้วหรือยังสำหรับนักดนตรีและนักแต่งเพลง  

ผมอธิบายง่ายๆ ได้ว่าก่อนจะถึงยุคสตรีมมิงเนี่ย มันเป็นยุคยูทูบโดยสมบูรณ์ เพราะซีดีก็แทบไม่มีแล้ว MTV ก็ไม่มีแล้ว คือยุคผมเมื่อก่อนเวลาเราจะตามเพลงใหม่ เราจะฟังจากพวก Channel V แล้วเราก็จะรู้ว่า โอเค โลกใบนี้กำลังฮิตเพลงนี้ ผมก็จะได้เห็นว่าตอนนี้มันมีวงอย่าง The Strokes มันมี Eminem 

 

จนกระทั่งถึงช่วงก่อนหน้านี้สัก 4-5 ปีก่อนจะถึงยุคสตรีมมิง ก่อนที่ Spotify จะเข้ามาเมืองไทย มันเป็นยุคยูทูบโดยสมบูรณ์ ช่วงนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่มีแหล่งปลาแล้ว เพราะอัลกอริทึมของยูทูบเนี่ย คุณฟังเพลงแบบไหน คุณก็จะได้ฟังเพลงแบบนั้นไปเรื่อยๆ 

 

คือถ้าเราชอบฟังเพลงยุคนี้มันก็จะแนะนำแต่เพลงยุคนี้มา นั่นก็เท่ากับเราแทบจะตัดขาดไปเลยว่าแล้วคนยุคนี้ในตอนนี้เขาฟังเพลงอะไรกัน ช่วงนั้นล่ะที่ทำให้ผมขาดไปเลยว่ามันมีสิ่งที่เราไม่รู้จัก และมันกำลังมา มันกำลังมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมดเลย 

 

จนกระทั่งวันหนึ่งมันมีสตรีมมิงเกิดขึ้น มีโหมดเทรนด์เพลย์ลิสต์ที่บอกเราว่าตอนนี้ศิลปินเหล่านี้กำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่นะ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้ลองฟัง เราได้อัปเดต เรากลับมาตามทันอีกครั้งว่า อ๋อ เด็กสมัยนี้เขาฟังอะไรกันบ้าง

 

หรืออย่างรายการ Beats 1 ใน Apple Music คือมีช่วงหนึ่งที่ผมลองฟัง Beats 1 ทั้งวันแล้วพบว่าตัวเองไม่รู้จักเพลงอะไรเลย (หัวเราะ) ผมไม่เข้าใจอะไรเลย อะไรวะเนี่ย มันเป็นเพลงทรอปิคัลทั้งวันเลย แล้วเพลงที่มีคนเล่นกีตาร์ไปอยู่ไหนวะ ช่วงนั้นล่ะที่ผมเริ่มค่อยๆ กลับมา อ๋อ มันมีเพลงแบบนี้นะ อ๋อ มันมี Post Malone อยู่บนโลกใบนี้เว้ย มันมี Billie Eilish เว้ย มันมี Lil Pump เว้ย ซึ่งก่อนหน้านี้ยูทูบไม่เคยเลือกเพลงหรือศิลปินเหล่านี้มาให้ผมเลย แต่พอมีสตรีมมิง ไม่ว่าจะขึ้นรถหรือลงเรือ มันคือการเข้าห้องเรียนของผมหมดเลย เพราะผมจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เยอะขึ้น และได้เข้าใจมันมากขึ้น 

 

 

ผมคิดมาโดยตลอดเลยว่าคนเราพอถึงยุคหนึ่งแล้วจะหยุดฟังเพลง เขาบอกว่าเพลงที่เพราะที่สุด พีกที่สุด คือตอนอายุ 18 ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงแหละ โดยเฉพาะคนไทย ผมว่าใช่เลย 

 

เรียกว่าเป็นช่วงอัปเดตข้อมูล อัปเกรดระบบปฏิบัติการเพลงใหม่ 

ผมว่านะ (คิด) อันนี้มันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาโดยตลอดเลยว่าคนเราพอถึงยุคหนึ่งแล้วจะหยุดฟังเพลง เขาบอกว่าเพลงที่เพราะที่สุด พีกที่สุด คือตอนอายุ 18 ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงแหละ โดยเฉพาะคนไทย ผมว่าใช่เลย 

 

คือเขาก็จะฟังแต่เพลงยุคเขา ไม่ค่อยได้ฟังเพลงใหม่ๆ หลังจากนั้นก็จะเริ่มโทษเพลงใหม่ๆ ว่าไม่เพราะ เพลงสมัยนี้มันไม่เพราะ เพลงสมัยนี้มันไม่ได้เรื่อง คอมเมนต์อะไรแบบนี้เราได้ยินมาตลอดเวลา 

 

ยุคพ่อก็จะว่าเพลงยุคผม ยุคผมก็จะว่าเพลงรุ่นเด็กกว่า ซึ่งผมว่าจริงๆ แค่เราไม่ได้ฟังเท่านั้นแหละ มันไม่ได้มีเพลงที่ไม่เพราะหรือเพลงที่ไม่ดีไปกว่ากัน ผมว่ามันอยู่ที่เทคโนโลยี และเราให้เวลากับมันแค่ไหน ผมว่าถ้าให้เวลา ถ้าเพลงมันดี ยังไงเราก็จะชอบ  

 

สุดท้ายมันก็เลยเป็นโจทย์ของผมเหมือนกันนะว่าผมไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นน่ะ ผมไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่บอกว่าเพลงของเด็กรุ่นใหม่มันกระจอก ผมไม่อยากพูดคำนี้เลยในชีวิตนี้ ผมก็เลยพยายามที่จะฟัง 

 

พยายามฟังเพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจ…

ใช่ พยายามฟัง พยายามเข้าใจว่าเพลงนี้มันเพราะยังไงวะ ทำไมเพลงนี้มันเจ๋ง ทำไมเพลงนี้เด็กมันถึงชอบ สมมติถ้ามีลูก ผมก็อยากจะไปคอนเสิร์ตที่ลูกอยากไป ผมอยากเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น (คิด) แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่ได้ฟังเพลงใหม่ผิดนะ ผมแค่ไม่อยากจะปิดตัวเอง ไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่ทำเพลงแต่แบบของตัวเอง 

 

 

ผมไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่บอกว่าเพลงของเด็กรุ่นใหม่มันกระจอก ผมไม่อยากพูดคำนี้เลยในชีวิตนี้ ผมก็เลยพยายามที่จะฟัง  

 

หลายคนรู้สึกได้ว่างานเพลงยุคหลังๆ ของคุณเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยังคงสนุก เต็มไปด้วยเรื่องท้าทาย อย่างออกไปทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงอัลบั้มสากล STAMP STH ที่เราเชื่อว่ามันต่อยอดโอกาสใหม่ๆ ให้แสตมป์เยอะมาก โดยเฉพาะงานสตูดิโออัลบั้มกับ Toy’s Factory ที่เพิ่งออกมา    

ผมอยากบอกว่าคุ้มค่ามากเลยครับ (คิด) ไม่รู้นะ เขาไม่ได้พูดออกมา แต่ตอนแรกๆ ผมรู้สึกได้ว่าเขาคงคิดว่าเราทำไปทำไม เพราะด้วยตัวผมที่ไม่ใช่คนอินเตอร์อะไร ผมไม่ได้เป็นเด็กจบนอก ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ผมมาจากบางกะปิ ช่วงแรกก็เลยมีแต่คนสงสัยว่าทำอัลบั้มเพลงสากลไปทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคุ้มมากเลยครับที่ได้ทำ 

 

ตอนนี้คนที่เคยไม่เข้าใจเขาเข้าใจแสตมป์แล้วหรือยัง

คนอื่นเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ผมคิดเอาเองเลยว่าถ้าไม่ได้ทำ เพลงของผมในตอนนี้คงเป็นอีกแบบหนึ่งไป ชีวิตของผมด้วยเหมือนกัน คงเป็นอีกแบบหนึ่งไปแล้วถ้าไม่ได้ทำ 

 

ทำไมเหรอ แสตมป์ในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง 

ผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย มันเหมือนได้ทำอะไรที่อยากทำไปแล้ว สะใจไปแล้ว ตอนนั้นผมลองทำแบบไม่คิดถึงผลลัพธ์เลย ต้องยอมรับอย่างสัตย์จริงเลยนะว่าตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกของผมจนถึงเพลงไทยล่าสุด ผมทำเพื่ออยากจะให้มันเข้าถึงผู้ฟังได้ แต่กับอัลบั้มเพลงสากลมันคือศูนย์ ผมทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ผมรู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อยมันออกไป และผมมีความสุขกับการทำเพลงมากขึ้น  

 

มีความสุขในแง่ไหนบ้าง เช่น รู้สึกว่าได้ไปเล่นดนตรีเมืองนอก ได้สร้างแฟนเพลงกลุ่มใหม่ที่กว้างขึ้น ได้เดินทางเยอะขึ้น ฯลฯ 

ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เหมือนเราได้ไปเที่ยวในเชิงจิตใจ ได้ไปเล่นดนตรี ได้ไปออกเพลงที่โน่น ได้ไปเล่นกับนักดนตรีอื่นๆ ได้ไปอยู่ในบรรยากาศอื่นๆ เฟสติวัลอื่นๆ ไลฟ์เฮาส์อื่นๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกสนุกขึ้น รู้สึกว่าชีวิตมีสีสันมากขึ้น ผมเชื่อว่าพอทำดนตรีไปสัก 10 ปี คนเรามันก็ต้องการจะรีเฟรชตัวเอง ซึ่งผมรู้สึกว่างานนี้เป็นแบบนั้น

 

 

Ekamai Dream 1 ก็จะมีทั้งเพลงสากล มีเพลงไทยด้วย ก็คงบาลานซ์กันไปครับ แล้วผมก็ได้ลองร้องเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นไปเพลงหนึ่ง ซึ่งไม่รู้เวิร์กหรือเปล่านะ แต่ตอนอัดก็มีคนขำอยู่

 

ที่สำคัญคือการตัดสินใจครั้งนั้นพาคุณไปไกลขึ้นมาก ไกลถึงขนาดได้ออกงานสตูดิโออัลบั้มกับ Toy’s Factory  

ใช่ครับ อย่างที่ได้ประกาศไปแล้วว่าผมได้ออกอัลบั้มใหม่กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งอัลบั้มแรกนี้ล่ะที่พาเราไปจนได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Toy’s Factory อย่างที่เราไม่คาดฝันมาก่อน แล้วเราก็ช็อกมากที่เขามาเลือกเรา 

 

Toy’s Factory เนี่ย ในฐานะที่ผมเป็นแฟนเพลงญี่ปุ่น ผมชอบค่ายนี้มาก เรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่เขายอมรับเรา พูดแล้วยังขนลุก ซึ่งจุดเริ่มต้นเนี่ย ผมมีโอกาสได้ไปเล่นดนตรีตามไลฟ์เฮาส์ต่างๆ รวมถึงมีโอกาสเล่นเป็นวงเปิดให้กับศิลปินหลายๆ วงของญี่ปุ่น จนกระทั่งได้เจอกับค่ายนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าเขามาสนใจเราตอนไหน

 

จำได้ว่าคืนที่รู้ว่าเขาสนใจ ผมไม่ได้คิดมาก่อนเลย แล้วตอนนั้นก็มีอีกค่ายหนึ่งมาคุยกับเรา แต่คนที่ดูแลผมที่ญี่ปุ่นเขาบอกว่าอย่าเพิ่งคุย เพราะ Toy’s Factory เขาสนใจคุณ พอรู้เราก็ช็อกมาก แต่ตอนนั้นเราเก๊กอยู่ แต่พอถึงบ้าน เฮ้ย WTF! (หัวเราะ) แล้วหลังจากได้คุยกับเขาจริงๆ เราก็ลองทำเดโมไปส่ง จนกระทั่งได้ออกอัลบั้มด้วยกันในชื่อว่า Ekamai Dream 1 แต่ล่าสุดผมเพิ่งปล่อยซิงเกิลเปิดตัวชื่อ Bangkok Summer ไปเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน เพลงเป็นเวอร์ชันภาษาอังกฤษที่โปรดิวซ์และร่วมกันแต่งกับ Christopher Chu จากวง POP ETC ส่วนอัลบั้มเต็มจะวางขายวันที่ 7 สิงหาคมนี้ 

 

Bangkok Summer (ENG) Japan Debut Single

 

เพลงในอัลบั้ม Ekamai Dream 1 ก็จะมีทั้งเพลงสากล มีเพลงไทยด้วย ก็คงบาลานซ์กันไปครับ แล้วผมก็ได้ลองร้องเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นไปเพลงหนึ่ง ซึ่งไม่รู้เวิร์กหรือเปล่านะ แต่ตอนอัดก็มีคนขำอยู่ (หัวเราะ) คือตอนนี้ผมก็ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ สนุกมากครับ เราเป็นคนชอบดูละคร ดูการ์ตูน ดูหนังญี่ปุ่นอยู่แล้ว เราเลยรู้สึกว่าเรียนแล้วได้ประโยชน์ คือนอกจากเรื่องงานแล้วยังได้ประโยชน์เรื่องอื่นด้วย แล้วนอกจากจะได้ไปขึ้นเล่นที่ Summer Sonic 2019 ในเดือนสิงหาคม ผมจะมีโอกาสได้ไปทัวร์ที่ญี่ปุ่นในช่วงเดือนกันยายนด้วย แต่เรายังเป็นศิลปินหน้าใหม่ของที่นั่นอยู่เนอะ คงจะไม่ได้เป็นทัวร์ยิ่งใหญ่มาก แต่ลองดูครับ น่าจะเป็นการทัวร์ที่เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น

 

ว่าแต่ Summer Sonic 2019 ใกล้เข้ามาทุกที ตอนนี้เตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหม ยังต้องตื่นเต้นไหม ทำงานที่ญี่ปุ่นบ่อยขึ้นทุกที

เฮ้ย ผมตื่นเต้นมากๆ เลย เรียกว่ามีความสุขที่กำลังจะได้ไปเล่นดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้ผมไปดูบ่อยมาก แล้วมันก็เป็นเทศกาลดนตรีที่ผมชอบที่สุดเลย มันสบาย แล้วมันก็มีวงที่เราชอบหมดเลย อย่าง Fuji Rock Festival เนี่ย บรรยากาศมันก็จะดูป่าๆ หน่อย แล้ววงที่มาเล่นมันก็จะเป็นอีกแบบ วงแบบคลาสสิกหน่อย แต่ผมรู้สึกว่า Summer Sonic มันเป็นเฟสติวัลของคนเมือง มันเป็นบรรยากาศอีกแบบที่เราชอบมากกว่า รู้สึกว่ามันเป็นเฟสติวัลที่ดีไซน์มาเพื่อเรา แล้ววงดนตรีหรือศิลปินที่เขาเลือกมามันก็ถูกจริตเรา ผมก็เลยชอบเทศกาลดนตรีนี้ที่สุด จะให้ไป Coachella Music Festival (อเมริกา) หรือ Glastonbury Festival (อังกฤษ) ก็ไม่ไหวว่ะ เพราะว่าเหนื่อย แล้วเราก็แอบกลัวฝรั่ง แต่พอเป็นคนดูญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าเขาเรียบร้อย เราไม่ต้องกลัวอะไร ผมก็เลยไปบ่อย 

 

ปกติผมจะตามอินสตาแกรมของ Summer Sonic คอยเช็กว่าปีโน้นปีนี้มีศิลปินวงไหนมาบ้าง แล้วพอปีนี้มีชื่อเราเป็นตัวเหลือโผล่ขึ้นมา โอ้โห เราก็เลยตื่นเต้นในฐานะที่เป็นแฟนเทศกาลอยู่ก่อนแล้ว ผมว่าความรู้สึกมันเหมือนตอนเล่นงานแฟตเฟสติวัลครั้งแรกเลย ตอนนั้นก็รู้สึกว่า โอ๊ย กูได้ไปเล่นงานแฟตแล้วโว้ย (หัวเราะ) 

 

 

ผมรู้สึกว่า ‘พอแล้ว’ กับการไปคาดหวังแบบนั้น ซึ่งมันทำให้เรามีความสุขขึ้นเยอะเลย คือเราเป็นคนเลวบ้างก็ได้ในสายตาคนอื่น เราเป็นคนผิดบ้างก็ได้ เราเป็นคนห่วยบ้างก็ได้ในสายตาคนอื่น คือเขาจะมองว่าเราเป็นคนยังไงมันอยู่ที่เขา

 

เรื่องอะไรที่กรี๊ดที่สุดใน Summer Sonic ปีนี้ที่คุณกำลังรอคอยจะได้ไปพบ  

Summer Sonic ปีนี้เป็นปีที่มี 3 วันนะ เพราะว่ามันเป็นการครบรอบ 20 ปี แล้วปีหน้าจะไม่มี เพราะว่าติดโอลิมปิกโตเกียว 2020 เขาก็เลยลงดนตรีเยอะหน่อย แล้วตอนนี้ผมอินวงดนตรีญี่ปุ่นอยู่วงหนึ่งครับ ชื่อวง King Gnu(キングヌー)เป็นวงที่เจ๋งมากเลยครับ ผมก็อยากดูวงนี้เล่นมากเลย กรี๊ดอีกอย่างคือเราได้ไปเล่นแล้วก็มีเพื่อนๆ เราหลายๆ คนตามไปดู ก็น่าสนุกดี 

 

 

 

 

 

ผมเตรียมเพลงจากอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะออกกับ Toy’s Factory ไปเล่น แล้วก็มีเพลงจากอัลบั้มสากลชุดเก่า (STAMP STH) แล้วก็มีเพลงไทยด้วยที่จะเอาไปฝากผู้ชมใน Summer Sonic คือเราไม่ใช่วงใหญ่ ได้เล่นบนเวทีสัก 30-40 นาทีเราก็ฟินแล้ว

 

ซิงเกิลเพลงไทยล่าสุดชื่อ ทั้งจำทั้งปรับ อยากรู้ว่าชีวิตจริงของนักดนตรีในรอบหลายปีนี้มีเรื่องอะไรที่คุณเพิ่งทั้งจำทั้งปรับไปบ้าง

ผมว่าเป็นเรื่องนี้ฮะ เรื่องการหวังให้คนอื่นเข้าใจ เอาตรงๆ นะ อาจจะด้วยความที่ครอบครัวเลี้ยงผมมาแบบโอ๋ๆ ผมเลยไม่ค่อยได้เจอคนที่ ‘ไม่เข้าใจเรา’ เช่นเดียวกัน ผมก็หวังมาตลอดเลยว่าถ้ามีคนที่ไม่เข้าใจ ผมก็อยากจะให้เขาเข้าใจ 


เมื่อก่อนผมอาการหนักมากเลย พูดง่ายๆ ว่าผมแคร์คนอื่นมาก 
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ‘พอแล้ว’ กับการไปคาดหวังแบบนั้น ซึ่งมันทำให้เรามีความสุขขึ้นเยอะเลย คือเราเป็นคนเลวบ้างก็ได้ในสายตาคนอื่น เราเป็นคนผิดบ้างก็ได้ เราเป็นคนห่วยบ้างก็ได้ในสายตาคนอื่น คือเขาจะมองว่าเราเป็นคนยังไงมันอยู่ที่เขา อาจจะเกี่ยวกับเราบ้าง แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำมันเต็มที่แล้ว เราเป็นคนแบบนี้ แล้วถ้าเขาจะตีค่าเราว่าเป็นคนเลวหรือเก็บเราไปนินทาอย่างไรก็ต้องสุดแล้วแต่เขา  

 

เรื่องชีวิตคู่ล่ะ คุณแต่งงานมา 3 ปีแล้ว มีเรื่องอะไรที่ต้องทั้งจำทั้งปรับบ้างไหม

ผมยังไม่มีปัญหาหนักๆ แล้วก็รู้สึกว่ายิ่งแต่งงานยิ่งดี ด้วยความที่พอแต่งงานมันทำให้เราไว้ใจกันมากขึ้น เขาไว้ใจผมมากขึ้น แล้วเราก็ฝากชีวิตให้กันแล้ว ก็เลยไม่ต้องคิดมากกับเรื่องยิบๆ ย่อยๆ ผมว่าก่อนแต่งงานเรายังทะเลาะกันมากกว่านี้อีก 

 

แสตมป์ อภิวัชร์ กลัวภรรยาไหม

เกรงใจ (กระซิบ) กลัวจะมีปัญหา 

 

อะไรน่ากลัวที่สุดในชีวิตคู่

เมียโกรธ  

 

อะไรที่จะไม่ทำ เพราะรู้แน่ๆ ว่าทำแล้วเมียจะโกรธ

เยอะมากเลย แต่ผมรู้สึกว่าเขาก็พยายามที่จะไม่โกรธผมอยู่นะ(ยิ้ม) เพราะผมรู้สึกว่าผมทำหลายๆ อย่างที่เขาน่าจะโกรธ เช่น ผมเป็นโอตะอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าเขาต้องโกรธแน่ๆ แต่เขาก็พยายามจะอดทน เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบหรอก

 

ก็เลยปรับด้วยการเลิกเป็นโอตะแล้ว 

ก็ยังเป็นอยู่ครับ (หัวเราะ) แต่อาจจะเป็นน้อยหน่อย  

 

พอเป็นสามี ต้องวางแผนให้ลึกขึ้นไหมว่าชีวิตจะต้องเป็นอย่างไร

ไม่ครับ เพราะผมกับภรรยาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานแล้ว ถามว่าอนาคตวางแผนมากขึ้นไหม ผมว่าผมวางแผนมานานแล้ว 

 

 

สำหรับคนมีลูกคงอยากจะเห็นลูกโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีลูก ตอนนี้ผมเลยอยากเล่นเกม Final Fantasy 7 ภาครีเมกว่ะ ผมอยากดู Star Wars ภาค 9 อยากฟังอัลบั้มเต็มชุดที่สองของ Billie Eilish ว่ามันจะดังแบบอัลบั้มแรกหรือเปล่า

 

จะมีลูกในเร็วๆ นี้ไหม 

ตอนนี้ตอบว่ายัง ตอบว่าไม่  

 

แล้วเมื่อไรถึงจะมีครับ

คิดว่าไม่มีครับ ตอนนี้คุยกันไว้แบบนั้นว่าไม่มีดีกว่า อาจจะด้วยตัวผมที่มีความเป็นเด็กสูงมากเลย สงสารเมียด้วยที่ต้องมาเลี้ยงเด็กสองคน เพราะทุกวันนี้เมียผมดูแลผมเยอะมากเลยครับ เขาดูแลผมเหมือนเป็นแม่เลย ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องทำงานด้วย ทำบริษัทด้วยกันด้วย 

 

ณ ตอนนี้ผมก็พูดในแง่ของคนที่ยังไม่มีลูกนะ พูดในมุมส่วนตัวที่รู้สึกว่าถ้าผมมีลูก ผมต้องอยากให้ลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่ๆ เราจะต้องไปคาดหวังเขา แล้วเราก็จะต้องผิดหวังถ้าเขาไม่เป็นอย่างที่เราคาด เราอาจจะต้องไปทะเลาะกับเขา เพราะอยากให้เขาเป็นคนดีในแบบที่เราอยากให้เป็น 

 

พอโตมาจนถึงวันนี้ ผมเชื่อว่ามันไม่มีคนดีและคนไม่ดีแบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่ในเวลาเดียวกันเราก็เคยได้ยินคนพูดว่าลูกเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เขาเป็นคนดี …แล้วคนดีคืออะไรวะ บางอย่างอาจจะดีสำหรับเรา แต่อาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้ ผมเลยรู้สึกว่าชีวิตมันซับซ้อน แล้วส่วนตัวก็อยากเที่ยวเล่นอยู่ด้วย ตอนนี้ก็เลยบอกแบบนี้ก่อนแล้วกันว่ายังไม่อยากมีลูก แต่ปีหน้าไม่รู้คิดยังไง เพราะปีที่แล้วผมก็ไม่ได้คิดแบบนี้  

 

รอบหลายเดือนนี้คุณมีเรื่องให้แฟนเพลงตื่นเต้นตลอด อยากถามส่งท้ายว่าเรื่องอะไรในช่วงนี้ที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น อยากจะตื่นนอนแล้วรีบลุกออกมาใช้ชีวิต 

เฮ้ย ผมพูดจริงๆ นะ อาจจะฟังดูตลกมากเลย (ยิ้ม) ผมอยากเล่นเกมใหม่ๆ อยากดูหนังเรื่องใหม่ๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพออายุขนาดนี้ เรื่องพวกนี้แม่งเป็นความสุขสำหรับเราจริงๆ ว่ะ นึกออกไหม คือสำหรับคนมีลูกคงอยากจะเห็นลูกโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีลูก ตอนนี้ผมเลยอยากเล่นเกม Final Fantasy 7 ภาครีเมกว่ะ ผมอยากดู Star Wars ภาค 9 อยากฟังอัลบั้มเต็มชุดที่สองของ Billie Eilish ว่ามันจะดังแบบอัลบั้มแรกหรือเปล่า คือรู้สึกว่ายังมีอะไรรอเราข้างหน้าอีกเยอะเลย แล้วก็อยากมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนั้นให้ได้ มันฟังดูปัญญาอ่อนมากเลย แต่ว่าเป็นเรื่องจริง 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising