×

วิกฤตเชื่อมั่น Stablecoin ลามสู่ USDT หลุดตรึงมูลค่า กูรูหวั่นคุมไม่อยู่ สะเทือนตลาดคริปโตหนัก

12.05.2022
  • LOADING...
Stablecoin

ความกลัวในตลาดคริปโตกำลังแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ราคาของ Stablecoin อย่าง UST ซึ่งผูกกับค่าเงินดอลลาร์ และควรจะมีมูลค่า 1 UST ต่อ 1 ดอลลาร์ แต่ล่าสุดกลายเป็นว่า UST ไม่สามารถรักษามูลค่าของตัวเองเอาไว้ได้ จนราคาของเหรียญดิ่งลงไปสู่ระดับ 0.3 ดอลลาร์ 

 

UST กำลังล่มสลาย กระทบต่อความเชื่อมั่นใน Stablecoin 

แรงกระเพื่อมจาก UST กระทบโดยตรงต่อ LUNA ซึ่งนอกจากความเชื่อมโยงในเรื่องของผู้พัฒนาคนเดียวกันแล้ว การจะสร้าง UST ขึ้นมาได้นั้นต้องอาศัยการทำลายเหรียญ LUNA เป็นการแลกเปลี่ยน 

 

ล่าสุด ณ วันที่ 12 พฤษภาคม ราคาเหรียญ LUNA ยังคงดิ่งลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน จากระดับ 86 ดอลลาร์ ลงมาเหลือเพียง 0.1-0.2 ดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่าที่หายไปถึง 99% 

 

ขณะที่ DeFi Protocol อื่นๆ ที่อยู่บน Terra ได้แก่ Anchor Protocol (ANC), Astroport (ASTRO) และ Mars Protocol (MARS) โดยราคาของโทเคนข้างต้นลดลงไปกว่า 80% นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

 

ไม่เพียงแค่นั้นวิกฤตความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นกับ Stablecoin ประเภท Algorithmic Stable อาจจะลุกลามไปยัง Stablecoin อื่นๆ ก็เป็นได้ ซึ่งหนึ่งในเหรียญสำคัญที่ตลาดกำลังจับตาดูคือ USDT ที่ล่าสุดมูลค่าของเหรียญได้ลดลงต่ำกว่าระดับ PEG เล็กน้อย มาอยู่ที่ 0.95-0.98 ดอลลาร์ 

 

จับตา! USDT Stablecoin ใหญ่ที่สุดของโลกที่อาจพังลงมาได้เช่นกัน

ธนลภย์ ปรีดามาโนช นักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Academy กล่าวว่า จากกระแสข่าวใน Twitter แรงขายที่เกิดขึ้นกับ USDT ล่าสุด ออกมาจากนักลงทุนรายใหญ่อีกเช่นกัน การโจมตี Stablecoin ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คล้ายกับการโจมตีเหรียญที่ขุดเหมืองเมื่อปีก่อน 

 

“กระแสข่าวที่ออกมาบอกว่า รายใหญ่ยอมจ่ายพรีเมียมมหาศาลเพื่อสวอป USDT เป็น USDC ถ้าสุดท้าย USDT เอาไม่อยู่ ตลาดน่าจะดิ่งหนักในรอบ 2-3 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวยอมถอยออกมาก่อน ตอนนี้ตลาดไม่ได้กลัว Fed อีกแล้ว แต่กลัว USDT พัง” 

 

หลังจากนี้ผู้ที่ต้องออกมาแก้เกมคือ ผู้ก่อตั้ง USDT ซึ่งจำเป็นจะต้องออกมาสร้างความเชื่อมั่นว่า USDT มีสินทรัพย์ที่หนุนอยู่เท่ากับมูลค่าของเหรียญจริงๆ เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามและไม่เชื่อว่าสินทรัพย์ที่หนุนอยู่จะมีเพียงพอ 

 

“มูฟสำคัญที่ต้องจับตาคือ ผู้ก่อตั้งของ USDT ว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่ แต่สำหรับ Stablecoin อื่นที่สำคัญ เช่น USDC หรือ BUSD ไม่ค่อยน่ากังวลนัก เพราะมีการพิสูจน์อยู่ตลอดว่ามีเงินสดหนุนอยู่จริง” 

 

ในบรรดา Stablecoin สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก คือ Fiat-Backed, Crypto-Backed, Commodity-Backed และ Algorithmic 

 

ธนลภย์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ Stablecoin ประเภท Algorithmic กำลังเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่น ทำให้กระแสเงินทุนอาจจะไหลกลับไปยัง Stablecoin อื่นที่ผ่านวัฏจักรของตลาดมาได้หลายครั้ง เช่น DAI ที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับว่าเป็น Decentralized อย่างแท้จริง 

 

ส่วนโอกาสที่นักลงทุนจะหันกลับไปหา Stablecoin ที่ถูกพัฒนาโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ธนลภย์มองว่า อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากชาวคริปโตไม่ชอบ Stablecoin ที่ถูกควบคุม แต่ธนาคารกลางต่างๆ อาจจะนำประเด็นที่เกิดขึ้นนี้มาเป็นข้อโต้แย้งเพิ่มเติมสำหรับการออกกฎหมายควบคุม

 

ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุด USDT ถูกค้ำประกันไว้โดย 

 

  1. เงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และพันธบัตรรัฐบาล 83.7% 
  2. หุ้นกู้ กองทุน และแร่โลหะมีค่า 4.6% 
  3. เงินกู้ยืมที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน 5.3% 
  4. การลงทุนอื่นๆ เช่น โทเคนดิจิทัล 6.4% 

 

ความสงสัยต่อ Tether ผู้พัฒนา USDT ว่ามีสินทรัพย์หนุนหลังมากพอหรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อปลายปีก่อน ผู้ที่ต่อต้าน Tether นิรนามรายหนึ่ง ได้โพสต์บทความภายใต้ชื่อ ‘The Bit Short: Inside Crypto’s Doomsday Machine’ ก่อนจะกลายเป็นกระแสอยู่ระยะหนึ่ง ขณะที่ Jim Cramer ผู้ดำเนินรายการชื่อดังแห่ง CNBC ก็ได้บอกผู้ชมรายการว่าให้ขายคริปโตที่ถืออยู่ออกไป โดยให้เหตุผลว่า “หาก Tether พังลงมา เมื่อนั้นแหละมันจะลากให้โลกของคริปโตพังลงมาด้วยทั้งหมด” 

 

ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า เหรียญ Tether ทั้งหมดที่มีอยู่มีจำนวนถึง 6.9 หมื่นล้านเหรียญ Tether โดนปล่อยออกมาเมื่อปีก่อนจำนวน 4.8 หมื่นล้านเหรียญ นั่นหมายความว่าบริษัทควรจะมีเงินดอลลาร์เป็นหลักประกันไว้จำนวน 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเป็นจริง Tether จะกลายเป็น 1 ใน 50 ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 

 

ขณะที่ Bloomberg Businessweek ได้สรุปประเด็นสำคัญ 5 ประการ เกี่ยวกับ Tether ได้แก่ 

 

  1. Tether ได้นำหลักประกันบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นของจีน ซึ่งเป็นการลงทุนก่อนที่ Evergrande Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ จะประสบปัญหา ทั้งนี้ Tether ปฏิเสธว่าไม่ได้ถือตราสารหนี้ระยะสั้นของ Evergrande แต่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทปฏิเสธที่จะบอกว่า Tether ถือตราสารหนี้ระยะสั้นของบริษัทจีนอื่นๆ อยู่หรือไม่ 
  2. Tether ทำกำไรจากการปล่อยยืมให้กับนักลงทุน โดยมี Bitcoin เป็นหลักประกัน โดยหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ปล่อยกู้คือ Celsius Network 
  3. Tether นำหลักประกันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดย John Betts อดีตซีอีโอของ Noble Bank International ในเปอร์โตริโก ซึ่ง Tether ใช้เคยบริการ บอกว่า Giancarlo Devasini ซีเอฟโอ ซึ่งมีอำนาจในการบริหาร Tether ได้นำเงินไปลงทุน เพื่อหวังกำไรหลายร้อยล้านดอลลาร์สำหรับตัวเอง 
  4. Tether ไม่ได้เก็บสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทไว้ในธนาคารที่บาฮามาสอีกแล้ว Jean Chalopin ประธานบอร์ดของ Deltec Bank & Trust ในบาฮามาส กล่าวว่า Tether เริ่มใช้ธนาคารอื่นๆ ในการฝากเงินของบริษัท โดยมีเพียง 1 ใน 4 หรือราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ยังฝากไว้กับ Deltec 
  5. ผู้บริหารของ Tether ตกเป็นผู้ต้องสงสัยของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการฟอกเงิน โดยอัยการของสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือถึง Giancarlo Devasini และผู้บริหารรายอื่นๆ ว่า พวกเขาเป็นเป้าหมายของการสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องของการฟอกเงิน อย่างไรก็ดี บริษัทได้ออกมาเปิดเผยว่า Tether มีการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสกับทางกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว 

 

แนวโน้มของตลาดคริปโตในระยะถัดไป

กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และผู้ก่อตั้งเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของ Stablecoin ประเภท Algorithmic น่าจะถูกสั่นคลอน เพราะนักลงทุนมองเห็นแล้วว่า UST ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในประเภทนี้ยังถูกโจมตีได้ เหรียญที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันก็มีความเสี่ยงเช่นกัน 

 

สำหรับ LUNA ที่ราคาลดลงไปสู่ระดับ 0.1 ดอลลาร์ จะได้รับแรงกดดันต่อไป เพราะหาก UST ต้องการจะกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์อีกครั้ง เท่ากับว่าจะต้องมีการผลิตเหรียญ LUNA ออกมาอีกเป็นจำนวนมาก 

 

สำหรับ USDT ซึ่งเป็น Stablecoin อีกประเภทหนึ่ง และมีกลไลในการรักษามูลค่าที่แตกต่างกัน แม้ว่าประวัติความเป็นมาของ Tether อาจจะไม่ได้โปร่งใสมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะการนำสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์เพียงอย่างเดียวมาเป็นหลักประกัน อีกทั้งยังมีคดีฟ้องร้องกับหน่วยงานกำกับอยู่เป็นระยะ

 

เมื่อบริษัทไม่ได้โปร่งใส 100% ทำให้คนไม่ได้เชื่อมั่นใน USDT เต็มที่เช่นกัน ครั้งนี้จึงเห็นการเคลื่อนย้ายเงินจาก USDT ไปยัง Stablecoin อื่น เช่น USDC หรือ BUSD ทำให้มูลค่าของ USDT หลุดต่ำกว่า PEG ที่ 1 ดอลลาร์ ไปเล็กน้อย 

 

“ส่วนตัวมองว่า USDT ไม่น่าจะถล่มลงมาแบบ UST เพราะใช้คอนเซ็ปต์ที่ต่างกัน นอกจากนี้ USDT ยังเป็น Stablecoin ตัวแรกในโลกคริปโต มีสภาพคล่องและปริมาณการเทรดสูงสุด เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาอาจจะกระทบบ้าง” 

 

ส่วนมุมมองที่ว่าการร่วงลงอย่างหนักของ UST จะกระทบต่อราคาของ Bitcoin ให้ปรับลดลงไปหนักด้วยนั้น ในส่วนนี้อาจมีผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นทำให้ Bitcoin ล้มไปด้วย ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายของ Stablecoin ที่มากที่สุดยังเป็น USDT เพราะฉะนั้นหาก Bitcoin จะล้มลง คงต้องเป็น USDT ที่ถล่มลงมา แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น 

 

“การร่วงลงต่อเนื่องของคริปโตเป็นรอบของตลาดที่ต้องเกิด Correction รวมถึงแรงกดดันจากปัจจัยอื่น เช่น การทำ QT ซึ่งกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท” 

 

อ้างอิง: 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising