วันนี้ (21 มกราคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อไต่สวนและวินิจฉัย กรณีพรรคพลังประชารัฐ มีมติให้ 21 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคออกจากสมาชิกสภาพ เป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ 2561 และ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อค่ำวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา มีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐและ ส.ส. ของพรรค โดยมีมติให้ ส.ส. 21 คนที่เป็นกลุ่มของ ร.อ. ธรรมนัส พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยอ้างกลุ่ม ส.ส. ดังกล่าวมีการเรียกร้องให้ปรับโครงสร้างพรรคขนานใหญ่ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ร้ายแรงที่กระทบกับเสถียรภาพและเอกภาพของพรรคพลังประชารัฐ โดยมีมติตามข้อบังคับข้อที่ 54 (5) ประกอบวรรคท้าย ให้สมาชิกภาพสมาชิกสิ้นสุดลงเนื่องจากเป็นเหตุร้ายแรง เป็นเรื่องความมั่นคง เอกภาพ เสถียรภาพของพรรค
การมีมติดังกล่าวมีข้อสงสัยหลายประการ ดังนี้
- การที่สมาชิกหรือ ส.ส. เรียกร้องให้ปรับโครงสร้างพรรคขนานใหญ่ จะถือได้ว่าเป็นเหตุที่ร้ายแรงจนต้องให้ออกจากสมาชิกพรรคนั้น ชอบหรือไม่
- การที่มี 17 กรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. 61 คน รวมทั้งสิ้น 78 คน ประชุมกันแล้วมีมติให้สมาชิกพรรคออกจากสมาชิกภาพ โดยมิได้มี ส.ส. ทั้งหมดของพรรคเข้าร่วมประชุมจนครบ จะถือว่าชอบหรือไม่
- ข้ออ้างในการมีมติเห็นชอบให้ ส.ส. 21 คน พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพของพรรคนั้นโดยอ้างข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ข้อ 54 (5) ว่าเป็นเหตุร้ายแรงอื่นนั้น โดยที่พรรคพลังประชารัฐไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวน สอบสวน สมาชิกทั้ง 21 คน เพื่อหาข้อสรุปก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมร่วมของพรรคพิจารณาเสียก่อนนั้น ชอบหรือไม่
- ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ที่ถูกให้ออกนั้นต้องพ้นสภาพ ส.ส. ไปเลยหรือไม่ เนื่องจากมิได้เกิดเหมือนกรณีการขอยุบพรรคหรือการถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เพราะถ้าย้ายพรรคไปแล้วก็จะไปแซงบัญชีของพรรคอื่น หรือไปอยู่พรรคใหม่ที่ไม่เคยส่งเลือกตั้ง ก็จะไปเป็นบัญชีรายชื่อของพรรคนั้นๆ โดยไม่เคยถูกเลือกมาเลยไม่ว่าจะแบบไหน ซึ่งน่าจะหมดสภาพ ส.ส. ไปเลย และบัญชีรายชื่อของพลังประชารัฐลำดับถัดไปน่าจะได้ขึ้นมาแทนที่หรือไม่ อย่างไร
ด้วยข้อสงสัยข้างต้นซึ่งอาจขัดต่อข้อบังคับพรรคและกฎหมาย สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญจึงต้องมาแจ้งต่อ กกต. ให้ดำเนินการตรวจสอบ หากพบเป็นการฝ่าฝืนย่อมอาจเข้าข่ายกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ม.92 (2) ซึ่งเป็นเหตุให้ กกต. อาจเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือสั่งยุบพรรคที่ฝ่าฝืนนั้นได้