วันนี้ (22 กุมภาพันธ์) ที่รัฐสภา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่มีการเรียกคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยว่า ตนเองได้ยินมาแบบนั้นเช่นกัน ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าการ ธปท. แต่หน้าที่ของตนเองคือการอธิบายความเดือดร้อนของประชาชน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระ และไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ซึ่งความสัมพันธ์ของตนเองและผู้ว่าการ ธปท. นั้น เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งการที่ตนเองได้เรียกร้องไปนั้นเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุและมีผล
ขณะเดียวกัน ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อที่ระบุว่าเศรษฐกิจไปไม่ได้นั้น ทั้งเรื่องของปิโตรเลียมจีน เรื่องการจับจ่ายใช้สอย และงบประมาณที่ยังไม่ลงมา ตนเองเชื่อว่ามีการพูดคุยกันอยู่แล้วว่าให้จีนนำเข้าสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น ให้มาจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยมีเหตุผลหลักคือค่าเดินทางแพง เรื่องนี้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างหารือให้การเดินทางถูกลง ทำให้มีเงินในกระเป๋า และทำให้มีเงินในการจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น
เศรษฐากล่าวว่า ปัจจุบันเราใช้นโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนงบประมาณที่คาดว่าจะสามารถใช้ได้ในเดือนพฤษภาคมนั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้ได้ในเดือนเมษายน ขณะเดียวกัน ความเดือดร้อนที่ถูกส่งมาทั้ง 3 ข้อนั้นไม่มีประชาชนอยู่ในนั้นเลย จึงอยากเรียกร้องให้คิดถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วย
แม้นายกรัฐมนตรีจะมีการเรียกร้องไปยังผู้ว่าการ ธปท. ให้ลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 3 ครั้ง เศรษฐากล่าวว่า ก็ยังยืนยันว่าจะมีการเรียกร้องครั้งที่ 4 และ 5 ต่อไปแน่นอน เราอยู่ในสังคมที่เจริญแล้ว แม้จะมีความเห็นต่างแต่ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้ง โดยอยู่ในบรรยากาศที่ไม่น่าทำงานร่วมกัน และยังยืนหยัดที่จะพูดคุยด้วยการใช้เหตุและใช้ผล เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจก็บ่งชี้อะไรหลายๆ อย่าง
เศรษฐากล่าวอีกว่า รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเคยอธิบายให้ตนเองฟังถึงการลดอัตราดอกเบี้ยว่า คนที่มีเงินฝากธนาคารเอาไว้ก็อาจจะไปดูเรื่องสินทรัพย์เสี่ยงที่มีเพิ่มขึ้น เพื่อหาอะไรที่สูงขึ้น ซึ่งคนที่มีเงินก็คือคนชนชั้นบนของประเทศไทย แต่ตอนนี้เราพูดถึงคนฐานราก ก็อยากให้คำนึงถึงพี่น้องประชาชนในมิติอื่นๆ ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีเคยพูดคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ว่าเหตุใดถึงลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ เศรษฐากล่าวว่า ก็อธิบายและพูดคุยกันไป ซึ่งต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการลดอัตราดอกเบี้ยก่อนกำหนดจะส่งผลต่อหนี้ครัวเรือนนั้น เศรษฐากล่าวว่า หนี้ครัวเรือนสูงอยู่แล้ว แล้วคนที่ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยค้างจ่ายอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่หนี้ครัวเรือน ก็ทำให้สูงขึ้นอีก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการจับเข่าคุยกันจริงจังหรือไม่ เพราะนโยบายทางกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สอดคล้องกัน เศรษฐากล่าวว่า คงจะต้องเป็นอย่างนั้น และจะนัดกันเมื่อถึงเวลาอันสมควร
คดีเว็บพนันต้องให้เจ้าตัวพิสูจน์ความบริสุทธิ์
เศรษฐายังกล่าวถึงกรณี พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ แจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 149 ว่าตนเองได้ฟังข่าวจากสื่อ ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐถูกกล่าวโทษ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์ทราบให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องขวัญและกำลังใจของพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่ต้องพูดอะไรมากเรื่องเว็บพนันออนไลน์ก็ผิดอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการ แต่ก็ต้องให้เกียรติ เพราะที่จริงแล้ว พล.ต.อ. สุรเชษฐ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ก็ต้องให้เกียรติมาชี้แจง ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการพูดคุยและยังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีการมองกันว่าเป็นแผนสกัดเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องแผน ไม่ทราบเรื่องเบื้องหลังอะไรทั้งสิ้น หน้าที่ของตนคือการดูแลให้การกระทำถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการพนันออนไลน์เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่รัฐพิสูจน์ทราบได้ว่าเกี่ยวข้องด้วยและมีความผิดด้วยก็เป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้โอกาสบุคคลที่ถูกกล่าวถึงมาพิสูจน์ตัวเอง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าต้องมีการกำชับ ผบ.ตร. หรือไม่ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับนายตำรวจระดับสูง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเชื่อว่าทุกท่านตระหนักดีอยู่แล้วว่าเรื่องการพนันออนไลน์เป็นเรื่องที่ผิด แต่ต้องให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ต้องให้เกียรติกับทุกฝ่าย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่าหากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย หากมีหลักฐานที่ชัดเจนก็ต้องเป็นคำสั่งของ ผบ.ตร. เอง