หมายเหตุ: บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์เรื่อง The Fall of the House of Usher
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ The Fall of the House of Usher ซึ่งเป็นผลงานของนักเขียนผู้ล่วงลับ Edgar Allan Poe ถูกนำมาดัดแปลงเป็นสื่อภาพยนตร์ เพราะในปี 1960 ผู้กำกับชาวอเมริกันนามว่า Roger Corman ก็เคยเอาเรื่องราวของตระกูล Usher นี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้วครั้งหนึ่ง
ถึงกระนั้น การกลับมาอีกครั้งของ The Fall of the House of Usher ในวันเวลาที่เปลี่ยนไปก็เป็นบทพิสูจน์ว่างานเขียนของ Poe นั้นอยู่เหนือกาลเวลาจริงๆ แต่ส่วนสำคัญคือเมื่อมันอยู่ในมือของ Mike Flanagan ผู้ช่ำชองในการนำเสนอเนื้อหาที่สยดสยองแบบเดียวกันมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เรื่องราวของตระกูล Usher ที่ถูกปลุกชีพขึ้นมาจากหลุมสามารถสร้างความพรั่นพรึงให้กับคนดูได้ไม่แพ้กับตอนที่ Corman นำเสนอเรื่องราวของพวกเขา
ซีรีส์ The Fall of the House of Usher เริ่มต้นในวันที่ Roderick Usher ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลได้เข้าร่วมพิธีศพเหล่าบรรดาลูกๆ ของตัวเอง ซึ่งตามรายงานข่าวการเสียชีวิตของพวกเขาล้วนเกิดมาจากอุบัติเหตุที่สยดสยองแตกต่างกันออกไปแทบทั้งสิ้น และมันได้กลายเป็นสิ่งที่ทำลายเลือดเนื้อของวงศ์ตระกูลทั้งหมด แต่แล้วในคืนเดียวกันนั้นเอง Roderick ก็ได้ชวน Auguste Dupin ทนายที่มีความสัมพันธ์บางอย่างในอดีตกับเขามาที่บ้านหลังหนึ่งกลางดึกเพื่อที่จะได้สารภาพความจริงทั้งหมด
ทว่าสิ่งที่เล่าออกมากลับไม่ได้เกี่ยวพันแค่การเสียชีวิตของคนในครอบครัวหรือการกระทำผิดที่หากินบนความตายเพียงอย่างเดียว แต่ยึดโยงไปถึงเรื่องราวอันดำมืดในอดีตของ Roderick กับหญิงสาวปริศนาคนหนึ่งที่เขาพบในบาร์ช่วงขึ้นปีใหม่ปี 1980
การดำเนินเรื่องโดยที่เริ่มจากผลลัพธ์ในปัจจุบันอย่างการเสียชีวิตของคนในครอบครัว แล้วค่อยๆ ร้อยเรียงพาคนดูไปดำดิ่งสู่เหตุการณ์ในอดีตอย่างเชื่องช้านั้นอาจกล่าวได้ว่ามันเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมายตามทาง แต่ข้อสำคัญคือ การปกปิดความจริงจากคนดูที่คงจะอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจนนำมาสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดนี้ แต่สำหรับ The Fall of the House of Usher คำที่ใช้ในการตั้งคำถามอาจต้องเปลี่ยนจาก ‘อะไร’ มาเป็น ‘ทำไม’ เสียมากกว่า
ในแต่ละตอนของซีรีส์ได้แบ่งแยกเรื่องราวการตายของคนในครอบครัวอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือ การทำให้คนดูเห็นว่าพื้นเพของพวกเขาแต่ละคนเป็นอย่างไร ส่วนอีกด้านคือ เผยให้เห็นถึงเนื้อในอันเน่าเฟะที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมาก ซึ่งเอาเข้าจริง ในช่วงที่ซีรีส์กำลังพาคนดูทอดสายตาไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละครมันไม่ใช่แค่การปลดเปลื้องปริศนาตามทาง หากแต่เป็นการทบทวนถึงประวัติศาสตร์ของตระกูล Usher โดยเฉพาะ Roderick ที่อาจเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้
ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ว่านอกจากการบอกเล่าเรื่องราวฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว แต่ละตอนของซีรีส์จะมีช่วงหนึ่งที่ Flanagan พาคนดูย้อนกลับไปมองเรื่องราวของ Roderick อยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การอาศัยอยู่กับแม่ที่ป่วยและคลั่งศาสนาไปจนถึงการไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดของบริษัทด้วยการร่วมมือกับ Madeline Usher ผู้เป็นน้องสาว ซึ่งทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงกับลูกหลานพวกเขาทุกคนในปัจจุบัน
แต่ก็นั่นแหละ หากจะมองถึงประเด็นที่น่าสนใจ ความสำคัญของมันอาจไม่ได้อยู่ที่คดีฆาตกรรม แต่อยู่ที่การพูดถึงโครงสร้างอำนาจทางสังคมของคนรวยที่แม้แต่กฎหมายก็ไม่สามารถเอาผิดกับพวกเขาได้ เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมบริษัทของ Roderick กำลังเผชิญกับการฟ้องร้อง เนื่องจากผลิตยาที่สามารถเสพติดได้จนส่งผลให้มีคนเสียชีวิตนับแสนราย (เช่นเดียวกับกรณีของตระกูล Sackler) แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังอยู่มาจนถึงวันที่นั่งเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้กับ Auguste และคนดูฟัง
หรือในช่วงที่ซีรีส์กำลังเล่าถึงการตายของแต่ละคนก็เผยให้เห็นว่า ความต้องการของพวกเขาล้วนมีที่มาจากรากเหง้าของความโลภแทบทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของคนโลภที่มากไปด้วยอำนาจก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่ลงโทษพวกเขาได้อย่างยุติธรรมโดยที่ไม่เกี่ยงว่าคนคนนั้นจะเป็นใครหรือใหญ่โตมาจากไหน
แต่หากสำรวจอย่างถี่ถ้วนจะพบว่า Roderick ไม่ใช่คนแบบที่เขาเป็นโดยกำเนิด แต่เป็นเพราะเส้นทางชีวิตที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนรวยมาก่อนทำให้ต้องดิ้นรนหาหนทางให้กับตัวเองด้วยการฉกฉวยโอกาสในการเข้ามาเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนยอดพีระมิดนี้ และนานวันเข้าเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันโดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยว่าการตัดสินใจของตัวเองจะส่งผลอะไรต่ออนาคตบ้าง แม้ข้อเสนอนั้นจะมาจากปีศาจก็ตาม
ถ้าว่ากันอย่างเข้าใจง่าย คำถามที่บ่งชี้ถึงตัวตนของ Roderick อาจเป็นอะไรที่เรียบง่ายอย่าง ‘ถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสกลายเป็นคนรวยขึ้นมาโดยที่อายุขัยสั้นลง เราจะยอมใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์หรือกองเงินกองทอง?’ ซึ่งแน่นอนว่าตลอดเส้นทางชีวิตของเขาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ก็คงเป็นคำตอบที่สะท้อนถึงความคิดของใครหลายคนได้ชัดเจนอยู่แล้วในตัวของมันเอง
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า The Fall of the House of Usher ของ Flanagan เต็มไปด้วยแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างการใส่รายละเอียดผ่านบทสนทนามากมายตามทางมันจึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะพลาดข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่ตัวละครกำลังพรรณนาถึงเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันสลับหมุนวนกันไปมาอย่างไม่ปรานี จนบางครั้งก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเนื้อหาในบางส่วนถูกใส่เข้ามาเพื่อลากเรื่องราวของตัวละครให้ดูยาวเกินความจำเป็น
การเล่าเรื่องที่ยาวและแฝงไปด้วยนัยทางปรัชญาสังคมของมนุษย์จึงต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยพลังของคนดูพอสมควรในแง่ที่ว่า ความยาวของแต่ละตอนอาจเทียบเท่ากับการดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ด้วยเหตุนี้การประกอบปริศนาที่คนทำเชื่อว่ามีเสน่ห์ก็อาจถูกลดถอยลงไปตามความอดทนของคนดูที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ องค์ประกอบที่น่ากล่าวถึงซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของซีรีส์คือ จังหวะจะโคนที่แม่นยำของ Flanagan ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง The Fall of the House of Usher ยังคงนำเสนอฉากสยองขวัญได้แบบรุนแรงและพิสดารชนิดที่ว่ากะเอาเป็นเอาตายกับคนดูทุกครั้งเมื่อเวลาเดินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ในแต่ละตอน
ที่สำคัญ การปรากฏตัวของเหล่าบรรดาภาพหลอนต่างๆ ก็เป็นเหมือนลางบอกเหตุว่า ในตอนที่พวกเขากำลังเล่าเรื่องอยู่เรากำลังจะได้ดูเรื่องราวการตายของใคร แต่ภาพหลอนที่ปรากฏออกมาแล้วคนดูคงจะนึกสงสัยมากที่สุดคือ ตัวตลก ที่ไม่มากไม่น้อยก็น่าจะตั้งคำถามถึงสิ่งนั้นในช่วงต้นว่ามันคืออะไร เพราะหากมองจากพื้นหลังที่เกี่ยวโยงกับการฆาตกรรมครอบครัว Ushur ตัวตลกดูเหมือนห่างไกลจากเรื่องราวของพวกเขาทั้งหมด ทว่าความตลกร้ายเช่นเดียวกับภาพหลอนที่เห็นคือ มันไม่ได้อยู่ห่างไกลจาก Roderick เลย แต่อยู่ใกล้ตัวของเขามากที่สุดต่างหาก
นัยหนึ่งคนดูจึงกลายเป็นคนที่รับรู้ความจริงทุกด้านของชายแก่คนนี้มากกว่าที่ Auguste ผู้ซึ่งเป็นคนที่นั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดของเขา
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักแสดงหากใครรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าเปิดชื่อดูกันแบบเรียงคนจะพบว่า ซีรีส์เรื่องนี้เต็มไปด้วยนักแสดงที่เคยร่วมงานกับ Flanagan มาแล้วมากมาย เช่น Zach Gilford ที่มารับบท Roderick ในวัยหนุ่มกับ Katie Parker ในบทภรรยาสาว ส่วนคนอื่นๆ อย่าง Samantha Sloyan, Henry Thomas และ Ruth Codd ก็มาร่วมแสดงในบทบาททายาทตระกูล Ushur ซึ่งสร้างสีสันให้กับคนดูได้ไม่น้อยเช่นกัน
หากสรุปในภาพรวม The Fall of the House of Usher อาจไม่ใช่ผลงานที่สมบูรณ์แบบของ Flanagan แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาสามารถนำเสนอเรื่องราวความสยองที่ผสมผสานกับวิธีการเล่าเรื่องในทางปรัชญาและศาสนาที่พอดูจบแล้วก็อาจเกิดคำถามชวนถกเถียงกันต่อได้มากกว่าที่ขอบเขตของซีรีส์ได้วางเอาไว้ ซึ่งส่วนสำคัญที่ต้องขอบคุณก็คืองานเขียนของ Poe ที่แข็งแรงด้วยตัวมันเองอยู่แล้วเป็นถึงทุนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความยาวที่มาพร้อมกับการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นไป และบทสรุปที่ดูไม่ได้แปลกใหม่อะไรก็อาจทำให้มนตร์เสน่ห์ที่ถูกปูมาไม่ได้ดูพิเศษเท่าที่ควรนัก เมื่อเทียบกับนัยที่แอบแฝงเอาไว้ในเนื้อหาของมัน
สามารถรับชม The Fall of the House of Usher ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่: https://youtu.be/NnFP_B5QNiU