หุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญความลำบากในการหาปัจจัยหนุนใหม่ๆ หลังพุ่งขึ้นเฉียดระดับสูงเป็นประวัติการณ์จากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567
ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงสิ้นปี ซึ่งปกติแล้วเป็นช่วงเวลาที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นลดฮวบ ดัชนี S&P 500 เริ่มแกว่งตัว โดยเทรดเดอร์บางรายอ้างสุภาษิตเก่าแก่ของ Wall Street ที่ระบุว่า ‘อย่าชอร์ตหุ้นในตลาดเบาบาง’ (Never Short a Dull Market) เนื่องจากวิตกกังวลว่าจะมีแรงซื้อมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น พร้อมเตือนเรื่องการเดิมพันจนเกินพอดีจากสัญญาณเชิงผ่อนคลายของ Fed
การคาดการณ์ว่า Fed จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกได้หนุนให้ทั้งหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนี S&P 500 พุ่งเฉียดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเอาชนะทั้งดัชนี Nasdaq 100 และดัชนี Dow Jones ที่พุ่งทะยานขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่การที่หุ้นพุ่งแรงเช่นนี้เริ่มทำให้มีการสนทนากันว่า นักลงทุนควรกังวลหรือเฉลิมฉลองกันแน่
Ed Clissold จาก Ned Davis Research ระบุว่า “คำถามสำคัญที่สุดคือ ดัชนี S&P 500 ที่พุ่งทะยานขึ้นจะก่อให้เกิดอะไรตามมา การพุ่งขึ้นทำนิวไฮนี้เป็นการเข้าซื้อมากเกินไปหรือไม่ และจะเกิดการปรับฐานหรือไม่ หรือจะฝ่าแนวต้านพุ่งทะยานขึ้นไปอีก แต่เมื่อพิจารณาจากอดีตแล้วคืออย่างหลัง”
Clissold กล่าวว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาว 1, 3, 6 และ 12 เดือน โดยเมื่อเทียบกับ 1 เดือนแล้วล้ำหน้าแบบไม่แข็งแกร่งนัก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการซื้อระยะสั้นมากเกินไป ส่วน 1 ปีเพิ่มขึ้น 13 จาก 14 เท่าที่ค่ามัธยฐาน 13.4%
ดัชนี S&P 500 เหลืออีกประมาณ 0.5% ก็จะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,796.56 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สัญญา 10 ปี ปรับตัวลดลง 0.10% สู่ระดับ 3.80% หลังสหรัฐฯ เปิดขายพันธบัตรรัฐบาลสัญญา 5 ปี โดยต่ำกว่าผลตอบแทนหน้าพันธบัตรรัฐบาล
อ้างอิง:
