×

“ไม่ปลื้มทหารยึดอำนาจ แต่ยอมรับ” สนธิเปิดใจ รีวิวชีวิตคุก ส่งสารถึงทักษิณ ชินวัตร

12.09.2019
  • LOADING...
สนธิ ลิ้มทองกุล

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีชื่อเสียง พ้นโทษจากเรือนจำหลังต้องใช้ชีวิตในห้องเล็กๆ คับแคบ นอนอัดกัน 8 คน ด้วยผ้าห่มสามผืน ที่เขาเรียกมันว่าเป็นความ ‘อำมหิตที่สุด’
  • เขาประกาศเลิกนำมวลชนลงถนน แต่จะใช้ช่องทางเฟซบุ๊กสื่อสารองค์ความรู้ต่อประชาชน พร้อมบอกว่าไม่อาจยอมรับทหารยึดอำนาจ แต่ก็ต้องยอมรับให้ได้ 
  • ในการแถลงข่าววันนี้ เขาพูดถึงบุคคลจำนวนมาก ตั้งแต่ข้าราชการ บุคคลระดับสูงที่มีชีวิตในเรือนจำ และแน่นอน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ยังคงปรากฏอยู่ในคำพูดเขา เขาผู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเคลื่อนไหวขับไล่ทักษิณ จนการเมืองไทยอยู่ในห้วงขัดแย้งมานานนับทศวรรษ 

“ใครที่คิดว่าจะให้ผมออกถนนอีก ไม่ต้องแล้ว ผมไม่ออกแล้วนะครับ เห็นใจผมเถอะ 72 แล้วปีนี้…ผมคิดว่ามันหมดยุคของการออกถนนแล้ว มันหมดยุคแล้วจริงๆ” 

 

สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดใจครั้งแรกต่อสื่อและมวลชนที่ติดตามเขา หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ออกจากเรือนจำ ที่บ้านพระอาทิตย์วันนี้ (12 กันยายน)

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 กันยายน 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยการร่วมทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการโดยมีเนื้อหาความเท็จ เป็นเวลา 20 ปี 

 

อิสรภาพของนักหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนฝีปากกล้าที่ชื่อสนธิ จึงจบลงนับแต่เวลานั้น หลังเขาต่อสู้กับคดีทางการเมืองจำนวนมาก ในห้วงที่ออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นระยะเวลาต่อเนื่องนับทศวรรษ

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

พบมวลชนครั้งแรกที่บ้านพระอาทิตย์ กับรีวิวชีวิตในเรือนจำ

 

เช้าวันนี้ ที่บ้านพระอาทิตย์ สนธิสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีกากี เขาบอกว่าเป็นการแต่งตัวที่ไม่คุ้นชิน เนื่องจากตลอดระยะเวลา 2 ปี 11 เดือน 27 วัน ต้องนุ่งแต่กางเกงขาสั้นของทางเรือนจำ และที่ต้องใส่แว่นตาดำในวันนี้ เพราะตาซ้ายบอดไปแล้วเนื่องจากเป็นต้อหิน ส่วนตาขวาเป็นต้อกระจกกำลังรักษาอยู่ คุณหมอได้ขอให้ระมัดระวัง และกำชับให้ใส่แว่นดำ พึ่งผ่านการลอกตาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา

 

“ผมต้องขอกราบขอบพระคุณกำลังใจทุกกำลังใจที่ให้” เขาเริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณมวลชนที่มาในวันนี้ 

 

ส่วนชีวิตในเรือนจำนั้น สนธิย้ำว่า เขาอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่มีใครกลั่นแกล้ง ตนเองเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ส่วนหนึ่งที่ทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในคุกได้ก็คือ การยึดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน 

 

“เมื่อคุณลืมตาขึ้นมาแล้ว รู้ว่านี่มันคือคุก เมื่อคุณรู้ว่ามันเป็นคุก คุณก็เลิกฟุ้งซ่าน คุณก็ต้องปฏิบัติตัวแบบคนคุก อย่าไปซ่า อย่าไปอวดอ้าง ผมไม่มีสิทธิพิเศษอะไร 

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

“นักโทษไม่มีอภิสิทธิ์ครับ เหมือนอย่างชูวิทย์พูด มีแต่กางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ ปัญหาใหญ่วันนี้ผมจึงไม่ชินการใส่กางเกงขายาวและใส่ถุงเท้า ต่อด้วยคืนแรกที่กลับไปบ้าน คือการนอนไม่หลับ เพราะการนอนในคุกนั้น ไฟต้องเปิดทั้งคืน พอเข้าไปนอนในห้องตัวเองไฟมันมืดสนิท ไม่เคยเจอแอร์ พอเจอแอร์เป็นไข้ พี่น้องอยู่ข้างนอก เดือนเมษายนบอกร้อน แต่ในคุกนั้นร้อนนรก แต่ต้องทนเอา”

 

การนอนในคุกนั้น สนธิบอกว่า มีผ้าห่มสามผืน ผืนหนึ่งปูเป็นที่นอน อีกผืนพับเป็นหมอน อีกผืนพับเป็นผ้าห่ม เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่ ‘อำมหิตมาก’ เพราะนักโทษที่เข้าเรือนจำ เข้าอย่างสุขภาพสมบูรณ์ แต่พอพ้นโทษบางคนมีสภาพเป็นคนกึ่งพิการ ปวดหลัง หมอตาไม่มี มีหนึ่งคนลาออกไปแล้ว

 

สนธิบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในกรมราชทัณฑ์ คือ ‘โรงพยาบาลราชทัณฑ์’ ที่นั่น เขามองนักโทษเป็นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย มองนักโทษเป็นคน แต่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์บางคนในอดีต ‘มองนักโทษเป็นเศษมนุษย์’

 

สนธิบอกว่า ตนเองใช้ชีวิตในเรือนจำที่แดน 7 ซึ่งมีนักโทษร้อยกว่าคน โดยนอนอยู่ในห้องหมายเลข 6 มีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ โดยนอนอัดอยู่ด้วยกัน 8 คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับหลายคน ซึ่งทุกคนจบการศึกษาสูงจากเมืองนอก เรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยท็อปเท็นของโลก แต่มาติดคุกกันหมดเลย จึงได้สัจธรรมว่านี่คือเรื่อง ‘อนิจจัง’ 

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

เพราะปาฏิหาริย์ และพระมหากรุณาธิคุณ สนธิจึงมีวันนี้

ส่วนการที่เขาสามารถออกมาจากเรือนจำได้นั้น สนธิระบุว่า เป็นเพราะ ‘ปาฏิหาริย์’ และ ‘พระมหากรุณาธิคุณ’ 

 

สนธิบอกว่าตนเองเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม การพระราชทานอภัยโทษเมื่อเดือนพฤษภาคม ตนอยู่มาตรา 8 ซึ่งแปลว่าถูกกั๊ก 1 ขั้น หากอยู่มาตรา 7 ตนจะได้ลดโทษครึ่งหนึ่งในวาระพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่พอตนอยู่มาตรา 8 ซึ่งมีพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สนธิบอกว่า ‘เขา’ ตั้งมาเพื่อกั๊กตนเองไว้โดยเฉพาะ เป็นเรื่องทางการเมืองไม่ใช่กรมราชทัณฑ์ เพราะเขาบอกว่า “ให้สนธิมันออกยากหน่อย” 

 

ตนเข้าคุกเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 วันที่ 31 สิงหาคม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ชื่อ ปฏิคม วงษ์สุวรรณ ออกระเบียบมาว่า คนที่เข้าคุกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ไม่มีสิทธิ์ทำชั้นเป็นเวลา 5 ปี “คือจะเอาผมติดคุก 5 ปี แล้วค่อยทำชั้น” สนธิบอกว่าการทำแบบนี้ในเวลาต่อมาเป็นเรื่อง ‘เวรกรรมมีจริง’ ในที่สุดมีผู้ไปร้องเรียนทางกรม หลังปฏิคมออก อธิบดีคนใหม่มาจึงเปลี่ยนแปลงว่าไม่ต้องกั๊ก 5 ปี กลับมาสอบทำชั้นแบบเดิมได้ 

 

“เรามีอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ชื่อพันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ เป็นคนดี กรมราชทัณฑ์ถ้ายังเอาคนลูกหม้อราชทัณฑ์ขึ้นมา จะมีแต่ตกต่ำไปเรื่อยๆ กรมราชทัณฑ์ต้องเอาคนข้างนอก ที่ไม่เคยสัมผัสให้เขามาสัมผัส อย่าไปเชื่อว่าเขาจะแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” 

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

สนธิบอกอีกว่า ตนเข้าคุกตามกติกา และออกตามกติกา ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ 

 

“มีนักธุรกิจคนหนึ่งรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่กรณีพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ กั๊กการลดโทษ จึงให้ทนายไปศึกษา และยื่นต่อศาลว่า คนที่อยู่ในวงการเงินที่ทำธุรกิจอาชีพอื่นที่เป็นอาชีพสื่อสารอินเทอร์เน็ตไม่เข้าข่าย ศาลจึงเปลี่ยนให้มาอยู่ในข่ายมาตรา 7 ได้ลดโทษ 1 ใน 2 ผมนั่งอยู่เฉยๆ ขนมเปี๊ยะหล่นมาจากฟ้า เดินผ่านตึกตึกมันล้มทับผม ผมไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาปรับแก้นักโทษคนนั้น ผมก็ได้รับการปรับแก้ด้วย แต่ผมโชคดีและโชคร้าย โชคดีที่ผมอายุเกิน 70 ปี ได้อานิสงส์จากมาตรา 6 ที่ให้ปล่อยสำหรับคนอายุเกิน 70 ปี นั่งเฉยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”

 

สนธิบอกว่า ตนไม่เสียใจอะไรทั้งสิ้น พร้อมบอกว่าตนผิดเพราะไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น วันนี้ได้ลงโทษตนเองต่างกรรมต่างวาระ รวม 85 ปี แต่กฎหมายให้รับโทษสูงสุด 20 ปี 

 

“วันที่ผมเข้าเรือนจำ ผมนอนข้างๆ นักโทษคดียาเสพติดที่รับโทษจำคุก 20 ปี”

 

สนธิเปิดเผยด้วยว่า มีคนถามเขาว่า “ทำไมไม่หนีคดี” สนธิให้คำตอบว่า เหตุผลที่ไม่หนีเพราะมวลชน เพราะภรรยาตนเอง เพราะลูกน้อง “ถ้าผมหนีเขาเดินบนถนนเอาปี๊บคลุมหัว” ที่ตนเองไม่หนีเพราะผู้สนับสนุนทั้งหลาย “เขาจะได้เดินแล้วเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผย”

 

“ศาลฎีกาพิพากษาผมไป ผมยังรู้สึกเสียใจที่อริสมันต์ไม่ยอมไป” นี่คือเหตุผลที่ตนไม่หนีการไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา 

 

สิ่งที่ได้รับจากในเรือนจำมากที่สุดในการติดคุกก็คือหลักอนิจจัง

 

“ผมเรียนรู้ว่าทุกเรื่องมันเป็นเรื่องสมมติหมด เวลาผมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผมเจอคนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอคือ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เมื่อเรามามองย้อนหลังแล้ว ความใหญ่ความโตเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น”

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ไม่ปลื้มทหารยึดอำนาจ แต่รับได้ ฝากถึงช่อคิดไกลไป

สนธิบอกว่าเขาเรียนรู้มาตั้งแต่หนุ่มจนปัจจุบันอายุ 72 ปี สำหรับการเมืองคือ “การเมืองไม่เคยเปลี่ยน” 

 

หลายคนถามตนว่า นายกฯ ผิดรัฐธรรมนูญเพราะเรื่องถวายสัตย์ฯ ตนก็ตอบว่า “กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำกันแล้วหรือมาทะเลาะกันเรื่องนี้ เรื่องใหญ่ของชาติบ้านเมืองทำไมไม่ตั้งใจทำงานกัน

 

“ผมบอกว่าระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญบ้านเราเป็นเพียงลมปาก แม้ในระบอบประชาธิปไตยก็มีเผด็จการ ที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา ผมไม่ได้ปลื้มที่ทหารมายึดอำนาจ แต่ผมยอมรับ อุปมาอุปไมยเหมือนเรามีลูกสาว แต่ท้องไม่มีพ่อ เราจะขึงพืดเฆี่ยนตีหรือ เราก็ต้องยอมรับไป แล้วก็หวังว่า มันจะเลี้ยงลูกให้ดี ปกครองให้ดี ทำให้เป็นคนดี วันนี้จะดีจะชั่ว พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แล้ว หวังว่าท่านทำงานให้ดี เอาประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ทำเพื่อพวกพ้อง ผมคิดว่าถ้าหวังแบบนี้จะมีอนาคต ผมไม่ได้อยากให้คนทะเลาะกัน”

 

สนธิยังกล่าวอีกว่า ตนได้ดูโทรทัศน์ แล้วรู้สึกสงสาร ช่อ-พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เพราะช่อทำอะไรผิดไปหมด ตนเห็นใจเขา อาจเป็นเพราะบุคลิก ในความปรารถนาดีของเขามีเรื่องที่ควรชมเชย เพียงแต่ตนคิดว่า ความคิดของพวกเขาไม่ทันต่อเหตุการณ์บ้านเมือง มันก้าวล้ำไปไกล หลายคนยังยอมรับไม่ได้

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

จะสื่อสารความคิดผ่านเฟซบุ๊ก ก้าวต่อมาหลังออกจากเรือนจำ

สนธิบอกกับสื่อมวลชน และประชาชนที่มาให้กำลังใจเขาวันนี้ว่า ไม่ต้องกังวล ตนเองยังจะสื่อสารผ่านความคิดผ่านช่องทางเฟซบุ๊กของตน ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ 

 

“วันนี้ออกมาอย่างคนหมดตูด คดีแพ่ง 500 ล้าน เรื่องสนามบิน ทรัพย์สินถูกอายัดหมด ได้เงินจากลูกชายใช้ สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความจริงใจ และการทำให้บ้านเมืองดีที่สุด ผมเพียงแต่หวังว่าการเมืองจะมีวิวัฒนาการ และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

สนธิบอกว่า วันนี้เขามองทุกอย่างบนพื้นฐานของความเป็นจริง เขาตื่นขึ้นมาในทุกเช้าด้วยการตั้งคำถามกับตนเองว่า ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม คำตอบกับตัวเองก็คือยังมี ทำให้ระลึกได้ว่า นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว จากนั้นปฏิบัติธรรมเวลาเช้าด้วยการนั่งวิปัสสนา “ฝนตกในคุกเย็นสบายดี ทุกคนบอกวันนี้นอนหลับสบาย คนข้างนอกจะตาย แต่คนในคุกบอกสบาย”

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ชดใช้กรรมตนเองทุกเม็ด ทุกวัน ทุกวินาที ไม่ขอออกถนนอีก 

สนธิยังบอกอีกว่า เขาได้ชดใช้กรรมครบทุกเม็ด ทุกวินาทีแล้ว พร้อมกับถามหา ‘บอส อยู่วิทยา’ ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พร้อมฝากบอกว่าคุกไม่น่ากลัวถ้าเราทำใจได้ อาหารพอรับประทานได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวล 

 

ท้ายที่สุดสนธิย้ำว่าตนเอง “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ และซาบซึ้งในความรัก ความคิดถึง ความปรารถนาดี ความห่วงใยที่พ่อแม่พี่น้องเป็นห่วงผม” 

 

สนธิยืนยันว่าจะไม่ออกถนนอีก ด้วยอายุที่มากแล้ว และหมดยุคของการออกถนนแล้ว พร้อมบอกด้วยว่าสถานะของตนเวลานี้ถือว่าพ้นโทษแล้ว ส่วนคดีความเหลือเพียงคดีปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพียงคดีเดียวที่ยังต่อสู้ จากนี้จะมุ่งให้ความรู้แก่ประชาชน “ผมให้องค์ความรู้คนมาตลอดชีวิต” 

 

“ครั้งแรกในชีวิตผมที่ร้องไห้เหมือนเด็กถูกห้ามกินขนม คือวันที่ภรรยาผมเสียชีวิต” สนธิบอกว่าชีวิตในเรือนจำตลอด 3 ปีมีแต่ความขื่นขม สิ่งที่ทำให้ตนผ่านมาได้ คือมันก็เป็นของมันแบบนี้แหละ อันที่สองจบลงด้วยคำว่า แล้วมันจะผ่านไป 

 

และนี่คือชีวิตของสนธิ ลิ้มทองกุล สำหรับคนที่ติดตามการเมืองไทยในรอบทศวรรษ จะไม่มีวันลืมชื่อเขาแน่นอน เพราะนี่คือบุคคลที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองไทยคนหนึ่ง ทั้งในฐานะสื่อ ที่ผันเปลี่ยนตัวเองลุกขึ้นมาสู้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ กระทั่งมีชะตากรรมชีวิตต่างแดนในเวลานี้ 

 

ขณะที่มวลชนที่สนับสนุนทักษิณ มองว่าเขาคือต้นเหตุของการเมืองไทยที่ขัดเเย้งยาวนาน ร้าวลึกนับทศวรรษเช่นเดียวกัน

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising